13 พ.ค. เวลา 15:20 • ปรัชญา
..จิต มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เมื่อสร้างบุญกุศลแล้ว กายมีบุญ เกิดแสงของบุญสีของบุญ ก็อาศัยธาตุนะโม มากระจายบุญกุศล ..
คำว่า พระสงฆ์ ไม่ใช่เกจิอาจารย์ ..อาจารย์นั้นนี้ ..หมายถึง จิตของพระอัครสาวก เช่น พระโมคคัลลา พระสาลีบุตร พระอานนท์ พระกัสสปะ พระสีวลี พระโกณทัญญะ พระอัสสชิ ..มีอีกหลายพระองค์ ที่เป็นพระอรหันต์ ..
เรื่องบุญกุศลนั้น มันก็ควรเรียนรู้จัก ว่าทำอย่างไรจึงจะเกิดเป็นบุญกุศล เรื่อวบุญกุศล พระท่านเล่าเรื่องคนสมัยต้นพุทธกาล มีพระท่านสอนโยม ..ในการสร้างบุญกุศล ว่าจะต้องใช้กิริยาอย่างไร มีคำพูดวาจาใจ อย่างไร ที่ต้องอาศัยวัตถุ ที่ให้กายนั้นไปหามา แม้แต่ขอทาน มีกะลาใบเดียว ก็ขัดกะลา อาบน้ำสะอาดสะอ้าน ..ทำตัวให้ดีที่สุด ถือกะลาไปขอข้าว
พอได้ข้าวมา จิตเห็นความสำคัญในการสร้างบุญกุศล พอพบพระ ..ขอทานก็ถวาย กะลาที่ใส่ข้าว ที่ใช้แรงกาย ทั้งขัด ทั้งไปจิข้าวใส่กะลา เมื่อได้มา ก็นำไปถวายพระ เศรษฐีก็สงสัยว่า ทำไม่ไปฉันข้าวในกะลา ขอทาน พระท่านก็บอกว่า ขอทานเค้ามาสร้างบุญกุศลด้วยความเต็มใจ ทั้งชีวิตเค้่า ไม่มีอะไร เค้ามีข้าวในกระลา มาถวาย พระท่านก็สงเคราะห์ รับข้าวในกะลา มาฉัน. หนุนนำน้ำเลือดน้ำหนองในเรือรกาย
ท่านก็ไม่ได้ฉันด้วยความเอร็ดอร่อย เพื่อเอาสร้างกรรม ท่านฉันแล้ว จิตของท่านเป็นผู้มีธรรม เป็นผู้ที่ เข้าถึงธรรม ขอทานก็มีธาตุทั้งสี่ พระท่านก็มีธาตุทั้งสี่ บุญกุศลที่ป็นแสงรัตนะ สีของบุญ ก็กระจายไปสู่ธาตุทั้งสี่ ของผู้ที่มากระทำด้วย จิตที่นอบน้อม ระลึกถึงธาตนะโม ธาตุทั้งสี่ ที่ประกอยสังขาร น้อมถวาย ด้วยกิริยากายนิ่ง จิตนิ่ง เปล่งวาจาให้กายบิดามารดาอนุโมทนา
เรื่องของการใส่บาตร กับผู้ที่ครองเครื่องหมายธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเต้า พระท่านก็เดินมารับ ..เห็นคนไม่พร้อม กิริยาท่าทางลุกลี้ลุกลน ท่านก็เดินผ่าน . เห็นใครมานั่งรอ สงบเสงี่ยม ท่านก็มาหยุดรอ . พระสมัยนั้นท่านอ่านวาระจิตของโยมได้ .เมื่อโยมพร้อมดี แล้ว ..ท่านจึงเปิดบาตรให้ใส่
. พระสมัยต้นพุทธกาล ท่านไม่ได้ออกบิณฑบาตทุกวัน พอเห็นว่า สังขารต้องการธาตมาเสริม ท่านถึงออกบืณฑบาตร หรือว่า ไปโปรด ..รับของบิณฑบาต ที่มีผู้ที่เต็มใจ สร้างบุญกุศล แล้วพระสมัยต้นพุทธกาล ก็มีพระอรหันต์มาก แล้วท่านรับอนุโมทนา ท่านก็เปล่งประกายแสงรัตนะ ขึ้นมา ..จิตของโยม มีจิตนอบน้อม ก็ได้รับแสงรัตนะสงสู่กายและจิต ที่ว่า กายบิดามารดาอนุโมทนา
เมื่อบุตรธิดา นำกายพ่อแม่ ที่จิตนั้นอาสัย มาสร้างบุญกุศล ให้กายพ่อแม่อนุโมทนา ..ธาตุนะโม ที่จิตที่สงเคราะห์ จิตของบุตรธิดา ก็ต้อถึงธาตุทั้งสี่ เชื่อมต่อไปถึง กายพ่อแม่ ให้กายพ่อแม่ มีบุญกุศลไปด้วย
มีพระอานนท์ ท่านทำให้ดู .พูดให้ฟัง ท่านทำกายนิ่ง เหมือนท่อนไม้ พนมมือที่หน้าอก สง่างาม เปล่งว่าวาจา.. ข้าพเจ้า ขอนำธาตุนะโม มากระจายบุญกุศล . เวลากระจายบุญกุศล กรวดน้ำ ก็มีวิธี ทำอย่างไรจึงจะกระจายบุญกุศลได้ จิตของเรา มีพละกำลัง มีแสงรัตนะ ที่จะกระจายบุญได้หรือ .หรือว่า เราคิดว่า เราทำได้ .
เรื่องการทำบุญ นั้น .ทำอย่างไร จึงเกิดมีแสงรัตนะ สีของบุญเกิดขึ้น ให้..แม้แต่หูทิพย์ตาทิพย์ก็อนุโมทนา ..เห็นแสงแล้ว จิตนั้นก็มีความสุขเกิดขึ้น
ที่เขียนมา เพียงเล่าให้ฟัง มีพระท่านก็มาบอกมาเล่าให้ฟัง . ก็พิจารณากันเอง . จิตทุกดวง มาอาศัยกายมนุษย์ พรั่งพร้อมด้วยสติปัญญา ..
เราเคยทำบุญครั้งหนึ่ง มีผ้าไตรจีวร มีกองสังฆทานนิดเดียว ใช้เวลาในกายทำบุญ ไปสองชั่วโมงครึ่ง ต้องนั่งพับเพียบ
.
นี่ ถ้าท่าบุญที่ใจ เหมือนที่เค้าว่ากัน มันใช้เวลา ชั่วคิดว่าบุญ .ก็ได้แล้ว .. มันคิดเอง เออเองหรือเปล่า ..ทำพร้อมทั้งกิริยากายวาจาใจ ที่ธาตุทั้งสี่บันทึก วิญญาณทั้งหก ก็บันทึก .คำว่า ใช้กายบิดามารดา ที่ได้มา ..มาสร้างบุญกุศล คนที่ว่า ทำบุญที่ใจ .ก็บอกกันไม่ได้เสียด้วย เค้าว่าใจเค้าเป็นบุญแล้ว ..
มีพระท่านเล่าให้ฟัง เรื่องบุญที่ส่งไปไม่ถึวผู้รับ มีมากมากก่ายกอง กองเป็นภูเขา เหมือจดหมาย ไม่จ่าหน้าซองก็มี แล้วยังมีจิต ที่ไม่สามารถรับบุญกุศลได้ เห็นห่อของเค้าส่งให้ ใส่เสื้อผ้าอาหารใส่กล่อวไปให้ นึกว่า เป็นกล่องอะไรไม่รู้ ก็ไม่จับต้องอะไรทั้งนั้น
โฆษณา