Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
15 พ.ค. เวลา 10:35 • ประวัติศาสตร์
เมื่อ “ราชวงศ์ฮั่น (Han dynasty)” ต้องพบเจอกับคนทรยศ แต่คนทรยศนั้นผิดจริงหรือ?
เมื่อ 174 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่ “จงหางเยว่ (Zhonghang Yue)” ได้ข้ามกำแพงเมืองจีน และก็ถึงฤดูหนาวแล้ว หิมะตกจนปกคลุมไปทั่วบริเวณ
จงหางเยว่และคนอื่นๆ อีกนับร้อยถูกเกณฑ์ให้ขึ้นเหนือ อารักขาและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ฮั่น ซึ่งต้องเสด็จขึ้นเหนือ
1
องค์จักรพรรดิได้ทรงมีรับสั่งให้เจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับผู้นำชนเผ่า “ซงหนู (Xiongnu)” ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนหากแต่ทรงอำนาจ โดยทรงหวังว่าการอภิเษกสมรสนี้จะเป็นการรักษาสันติภาพระหว่างสองดินแดน
การเดินทางนี้มีระยะทางนับพันกิโลเมตร โดยผู้ที่ตามเสด็จก็มีทั้งทหาร คนรับใช้ รวมทั้งทหารฝ่ายซงหนูเองมาคอยคุ้มกัน
สำหรับจงหางเยว่ ชีวิตของเขาได้จบลงแล้ว หลายคนที่ถูกเกณฑ์ขึ้นเหนือมักจะมีจุดจบด้วยการถูกจับเป็นทาสและตายในที่สุด แม้แต่เหล่าเพื่อนทหารของจงหางเยว่ก็ยังสงสาร ได้แบ่งปันสุราที่ดีที่สุดให้จงหางเยว่ เพราะก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสรอดกลับมาดื่มสุราดีเช่นนี้อีกหรือไม่
1
แต่จงหางเยว่ยังไม่ยอมตาย ยังไงก็ต้องรอด
เรื่องราวของจงหางเยว่นั้นเกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น (Han dynasty) ซึ่งปกครองแผ่นดินจีนตั้งแต่ 202 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.9 (พ.ศ.552) และราชวงศ์ฮั่นก็ต้องพบเจอกับภัยคุกคามจากชนเผ่าซงหนู ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ปัจจุบันคือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในมองโกเลีย
อันที่จริง ซงหนู คือคำที่ใช้เรียกกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งอาศัยอยู่ในแถบตอนในของเอเชียและทุ่งหญ้ายูเรเซียทางตะวันออกในช่วงระหว่างยุค 200 ปีก่อนคริสตกาล-ช่วงปลายศตวรรษที่ 1
ชนเผ่าซงหนูคือภัยคุกคามสำคัญทางเหนือของราชอาณาจักรจีนมาตั้งแต่ก่อนราขวงศ์ฉินจะถือกำเนิดซะอีก และเมื่อราชวงศ์ฉินได้เข้าปกครองแผ่นดินจีน ก็มีการรวบรวมผู้คนนับแสน รวมทั้ทาสและทหาร เกณฑ์เป็นแรงงานในการก่อสร้าง “กำแพงเมืองจีน Great Wall of China)” เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกซงหนู
1
แต่การสร้างกำแพงเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถทำให้องค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉินพอพระทัย จึงมีการสร้างปราการและหาทางป้องกันการรุกรานจากพวกซงหนู มีการปรับปรุงกองทัพ
ชาวซงหนู
หากแต่ราชวงศ์ฉินก็ไม่ได้มีอายุยืนยาวนัก โดยเกิดการกบฏและจลาจล ทำให้องค์จักรพรรดิต้องเรียกกำลังพลนับแสนนายที่เป็นแรงงานก่อสร้างกำแพง ให้กลับมาช่วยปราบปรามกลุ่มกบฏ
แต่ทุกอย่างก็ล้มเหลว และราชวงศ์ฉินก็ล่มสลาย พระราชวังในเสียนหยางก็ถูกเผาจนราบคาบ
ในช่วงเวลานี้เอง อำนาจทางการทหารของพวกซงหนูก็มีแต่จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ กองทัพเข้มแข็ง และเมื่อมาถึงยุคต้นของ “ราชวงศ์ฮั่น (Han dynasty)” กองทัพซงหนูก็เข้มแข็งและน่าเกรงขาม มีกำลังพลทหารกล้ากว่า 100,000 นาย
1
200 ปีก่อนคริสตกาล “หลิวปัง (“Liu Bang)” หรือ ”จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ (Emperor Gaozu of Han)“ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น ทรงคิดว่าการปราบปรามพวกคนเถื่อนทางเหนือน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก
หากแต่พระองค์ทรงคิดผิด
จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ (Emperor Gaozu of Han)
จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ทรงค้นพบว่ากองทัพของพระองค์นั้นเทียบกับพวกคนเถื่อนไม่ได้เลย แม้แต่พระองค์เองก็เคยถูกกองทัพซงหนูปิดล้อม แทบจะเอาตัวไม่รอด ที่รอดมาได้ก็เพราะจ่ายสินบนให้ภรรยาของผู้นำสูงสุดของพวกซงหนู
เมื่อกลับมายังพระราชวัง จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะไม่เสี่ยงต่อสู้กับพวกซงหนูอีกต่อไป ประสบการณ์เลวร้ายนั้นยังคงหลอกหลอนพระองค์อยู่เรื่อยมา
จักรพรรดิฮั่นเกาจู่จึงคิดนโยบายใหม่ นั่นคือการผูกสัมพันธไมตรีกับพวกซงหนู โดยราชวงศ์ฮั่นจะยอมส่งบรรณาการแก่พวกซงหนู โดยมอบเงินทองและวิทยาการต่างๆ รวมทั้งเจ้านายสตรีในราชสำนัก
และเหล่าบริวารที่ติดตามไปรับใช้และอารักขาองค์หญิงที่ถูกส่งไปบรรณาการพวกซงหนู ก็คือของขวัญที่ราชสำนักฮั่นส่งมาให้เท่านั้น
เหล่าผู้โชคร้ายที่ถูกเลือกจะถูกบังคับให้เดินทางขึ้นเหนือ และต้องทำหน้าที่เป็นสายลับ ล้วงข้อมูลสำคัญต่างๆ มาให้ได้มากที่สุด และรายงานต่อเหล่าพ่อค้าชาวฮั่นและราชทูตจากแผ่นดินฮั่นที่จะเดินทางเข้ามา
1
พวกซงหนูเองก็ตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น เหล่าชาวฮั่นที่ถูกส่งเข้ามาจึงมักจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก มักจะถูกหมิ่นและหยามเกียรติ
และเส้นทางไปทางเหนือนั้นก็ลำบากและยาวไกล ตลอดทางนั้น เหล่าผู้ติดตามต่างล้มตายกันไปทีละคน ทั้งจากอาการเจ็บป่วย ถูกสัตว์ป่าโจมตี และอันตรายอื่นๆ และถึงแม้พวกเขาจะเดินทางมาถึงชนเผ่าซงหนูได้อย่างปลอดภัย ก็จะถูกพวกซงหนูปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากทาส ซึ่งในบางครั้ง แม้แต่เจ้าหญิงฮั่นที่ถูกส่งมาบรรณาการก็ถูกกดขี่ไม่ต่างอะไรจากทาสเช่นกัน
1
ทุกคนที่ถูกเลือกให้ติดตามไปกับขบวนเสด็จของเจ้าหญิงล้วนแต่หวาดกลัว และหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก ก็คือจงหางเยว่
จงหางเยว่คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกเมื่อ 174 ปีก่อนคริสตกาล โดยจงหางเยว่นั้นทั้งคร่ำครวญ ร้องไห้ และถึงขนาดพยายามจะติดสินบนเพื่อเอาชื่อตนออกจากรายชื่อของผู้ที่ต้องติดตามไปทางเหนือ
แต่ก็ไม่ได้ผล
เดิมที จงหางเยว่อาศัยอยู่ทางใต้ของกำแพงเมืองจีน โดยครอบครัวของจงหางเยว่นั้นมีฐานะยากจน หากแต่ก็มีความสุขดี
ค่ำคืนหนึ่ง จงหางเยว่ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากทางเหนือ ใกล้กับกำแพง บิดาของจงหางเยว่บอกกับเขาว่าพวกซงหนูบุกเข้ามาโจมตีอีกแล้ว
บิดาของจงหางเยว่รีบคว้าตัวจงหางเยว่และน้องสาวของจงหางเยว่ พาขึ้นเกวียน เตรียมพาทุกคนในครอบครัวไปทางใต้ หากแต่เมื่อมาใกล้ถึงเมืองฉางอาน บิดาของจงหางเยว่ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ส่วนมารดาของจงหางเยว่ก็ล้มป่วยและเสียชีวิต
จงหางเยว่นั้นจำใบหน้าของมารดาไม่ได้ชัดนัก แต่จำคำพูดสุดท้ายของผู้เป็นมารดาได้แม่นยำ
“ลูกข้า แม่กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว เจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบในฐานะของลูกผู้ชาย ปกป้องน้องสาวเจ้า อย่ากลับขึ้นเหนือ หาบ้านที่อยู่อาศัยในฉางอาน เจ้าจะปลอดภัยในใจกลางดินแดนที่ยิ่งใหญ่นี้”
น้ำตาไหลปกคลุมใบหน้าผู้เป็นมารดา ก่อนจะค่อยๆ หลับตา และจากโลกนี้ไป
ตั้งแต่นั้นมา จงหางเยว่ก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยความยากลำบาก แต่ก็สามารถหาอาหารและที่พักมาได้สำหรับตนและน้องสาว ถึงจะยากจนแต่ก็มีความสุข เนื่องจากพวกตนก็ยังปลอดภัยในดินแดนกว้างใหญ่
หากแต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อมีการเลือกผู้ที่ต้องตามเสด็จเจ้าหญิงขึ้นเหนือ
จงหางเยว่คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือก ซึ่งเขาก็พยายามจะอ้อนวอนเหล่าขุนนางทุกวิถีทาง พยายามโน้มน้าวไม่ให้เลือกเขา ซึ่งก็ไม่มีใครฟังหรือยินยอม
สุดท้าย จงหางเยว่ก็ตระหนักดีว่ายังไงซะตนต้องขึ้นเหนือแน่นอน และหากยังอ้อนวอนต่อไป บางที น้องสาวของเขาเองก็อาจจะถูกจับเป็นทาสอีกด้วย
จงหางเยว่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอม
ก่อนออกเดินทาง จงหางเยว่ได้มาเยี่ยมน้องสาวเป็นครั้งสุดท้าย สองพี่น้องกอดกันร้องไห้ด้วยความอาลัย ก่อนที่จงหางเยว่ต้องผละออก และเดินทางไปกับคณะของเจ้าหญิง
1
ก่อนจะออกนอกประตูเมือง จงหางเยว่ได้กลั้นน้ำตา และกล่าวแก่เหล่าขุนนาง
“หากท่านยังดึงดันจะให้ข้าเดินทางไปหาพวกซงหนู ก็อย่ามาว่ากันล่ะหากว่าวันหนึ่งข้าจะกลายเป็นศัตรูของชาวฮั่น”
เหล่าขุนนางที่ได้ยินต่างหัวเราะเยาะ เนื่องจากจงหางเยว่ไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร เป็นพวกปลายแถวซะด้วยซ้ำ จะมาสร้างภัยอะไรให้แผ่นดินฮั่นได้? จะรอดฤดูหนาวนี้ไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
1
แต่จงหางเยว่ตั้งมั่น ยังไงเขาต้องรอด
การเดินทางนั้นยากลำบาก ยิ่งเดินทาง จงหางเยว่ก็เห็นว่าบ้านของตนนั้นอยู่ห่างออกไปทุกที และหนทางข้างหน้าก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ
เวลาผ่านไปหลายวัน จงหางเยว่ก็ยิ่งซึมเศร้า และคิดจะจบชีวิตของตัวเองหลายครั้ง
แต่ใบหน้าของน้องสาวก็จะผุดขึ้นมา รวมทั้งคำของมารดาก่อนจะสิ้นใจ
จงหางเยว่สัญญาแล้วว่าจะปกป้องน้องสาว และจงหางเยว่ก็ตระหนักดีว่าที่ชีวิตของเขาเป็นแบบนี้ก็เนื่องจากเหล่าขุนนางที่โกงกินและไร้ความสามารถ รวมทั้งราชวงศ์ฮั่น
จงหางเยว่สาบานว่าต้องเอาคืนราชวงศ์ฮั่นและแผ่นดินฮั่นให้ได้
จงหางเยว่อดทนและเอาความเกลียดชังนี้มาเป็นพลังผลักดันให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เขาเติบโตมาในแผ่นดินฮั่น รู้ถึงธรรมชาติ ธรรมเนียม และลักษณะของชาวฮั่น ดังนั้นเขาสามารถที่จะให้ข้อมูลเหล่านี้แก่พวกซงหนู
1
จงหางเยว่ตระหนักว่าวิธีการที่จะทำให้แผ่นดินฮั่นได้รับความเสียหายมากที่สุด นั่นก็คือทำให้ศัตรูของแผ่นดินฮั่นแข็งแกร่งที่สุด
เขามีแผนแล้ว
หลังจากเดินทางอย่างยากลำบากมาเป็นเวลานานนับเดือน ขบวนของพวกเขาก็มาถึง และก็เป็นไปตามที่คิดไว้ พวกซงหนูไม่ได้ต้อนรับพวกเขาอย่างดีเลย ตรงกันข้าม พวกซงหนูไม่ให้เกียรติแขกจากแผ่นดินฮั่นเลย ทั้งเยาะเย้ยและทำเหมือนพวกเขาเป็นทาส
แต่จงหางเยว่ไม่ได้รู้สึกใจเสีย ตรงกันข้าม เขาตระหนักว่าตอนนี้แหละคือเวลาแห่งการแก้แค้น
ตัวจงหางเยว่นั้นมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นอยู่สองด้าน 1.ตัวเลข 2.การโต้วาที
จงหางเยว่ตั้งใจจะใช้ความสามารถของตนให้เป็นประโยชน์ และได้แสดงความสามารถให้พวกซงหนูประจักษ์
ความสามารถของจงหางเยว่ทำให้พวกซงหนูประทับใจมาก โดยเฉพาะกับผู้นำซงหนู ซึ่งได้แต่งตั้งจงหางเยว่เป็นที่ปรึกษา
1
นับว่าโอกาสทองหล่นมาถึงจงหางเยว่เต็มๆ โดยจงหางเยว่แนะนำว่าอย่าไปอยากได้เสื้อผ้าและอาหารของชาวฮั่นเลย เนื่องจากจะเป็นการสูญเสียตัวตนของชาวซงหนู และเป็นเหมือนการยอมรับอำนาจของแผ่นดินฮั่นอีกด้วย
จากนั้น จงหางเยว่ก็ใช้ความสามารถด้านตัวเลขช่วยพวกซงหนูในการบันทึกจำนวนประชากร สัตว์เลี้ยง และที่ดินผืนต่างๆ ทำให้ผู้นำซงหนูเข้าถึงประชาชนและมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ทำให้ซงหนูยิ่งแข็งแกร่ง เป็นภัยต่อแผ่นดินฮั่นยิ่งกว่าเดิม
1
ท้ายสุด จงหางเยว่ได้ใช้ความสามารถในการโต้วาทีและความเข้าใจในชาวฮั่นและซงหนู ใช้ความสามารถนี้ช่วยซงหนูให้ได้เปรียบทางการทูตต่อราชสำนักฮั่น
ตัวอย่างก็เช่น ทูตจากฮั่นมักจะโอ้อวดว่าตนนั้นมีศีลธรรมสูงส่งกว่าพวกซงหนู และประณามพวกซงหนูที่มักจะทอดทิ้งคนแก่ชรา
แต่จงหางเยว่ก็โต้กลับทูตชาวฮั่น โดยกล่าวว่า
“เมื่อทหารชาวฮั่นไปประจำการยังชายแดน ไม่ใช่เหล่าคนแก่ชราหรือที่ต้องคอยส่งเสบียงและเสื้อผ้าให้? นอกจากนั้น การให้เสบียงที่ดีแก่เหล่านักรบที่เข้มแข็งและมีความสามารถ แทนที่จะให้เหล่าคนแก่ชรา ดังนั้น ที่ท่านพูดมามันต่างกันตรงไหนหรือ?“
1
จงหางเยว่ยังวิพากษ์วิจารณ์ธรรมเนียมของฮั่นไว้อย่างเผ็ดร้อน โดยกล่าวว่า
1
“ระบบของพวกท่านดูเหมือนจะก้าวหน้าและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นคือการไขว่คว้าอำนาจและความมั่งคั่ง เมื่อใครซักคนไม่สามารถได้มาซึ่งอำนาจผ่านธรรมเนียม ก็จะนำไปสู่ความโกรธแค้น การก่อกบฏ และไปจนถึงขั้นความล่มสลายของระบอบการปกครอง“
1
“นี่ก็เป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่? พวกท่านราชทูตจากฮั่นมักจะคุยโวถึงความรุ่งเรืองของพวกท่าน และเหยียดหยามพวกซงหนูว่าเป็นพวกป่าเถื่อน แต่ธรรมเนียมของท่านก็มีไว้เพื่อแค่ซ่อนความกระหายอำนาจ สถานะ และความมั่งคั่งเท่านั้น ดูเผินๆ พวกท่านเหมือนผู้ประเสริฐ แต่แท้จริงแล้วก็คือพวกป่าเถื่อน ในขณะที่พวกซงหนู ถึงแม้ว่าจะดูป่าเถื่อน แต่ยังมีความซื่อตรงและจริงใจต่อธรรมชาติของมนุษย์และความปรารถนามากกว่าพวกท่าน“
1
เมื่อเหล่าราชทูตฮั่นได้ยินถ้อยคำของจงหางเยว่ ต่างก็นิ่งอึ้ง ไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้
ซึ่งสิ่วที่จงหางเยว่พูดมาก็ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาสะใจเท่านั้น แต่ก็เป็นเรื่องจริง โดยในเวลานั้นชนชั้นล่างชาวฮั่นต่างต้องพบเจอการกดขี่จากทางการ หลายคนต้องหนีขึ้นเหนือไปเข้ากับพวกซงหนูเพราะทนการโกงกิน ขูดรีดภาษี และการกดขี่จากทางการไม่ไหว
เมื่อถึงรัชสมัยของ “จักรพรรดิฮั่นอู่ (Emperor Wu of Han)” แผ่นดินฮั่นก็เละเทะ ทั้งสงครามที่ไม่หยุดหย่อน การขูดรีดภาษีราษฎร และนโยบายต่างๆ ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน
ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้แผ่นดินแทบจะถังแตก ประชากรลดลงกว่าครึ่ง
ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าสังคมซงหนูจะดูป่าเถื่อนและโหดร้าย แต่เหล่าผู้อพยพยังสามารถมีอิสระเสรีได้มากกว่า และพวกซงหนูก็ต้อนรับคนต่างแดนเนื่องจากต้องการแรงงานจำนวนมาก
จักรพรรดิฮั่นอู่ (Emperor Wu of Han)
เมื่อถึง 154 ปีก่อนคริสตกาล แคว้นทั้งเจ็ดที่ตกอยู่ใต้อำนาจของแผ่นดินฮั่นก็ก่อกบฏ ทำให้ราชวงศ์ฮั่นแทบล่มสลาย
ในราชสำนักฮั่นก็ปั่นป่วนวุ่นวาย ความผันผวนทางการเมืองในราชสำนักทำให้พระราชโอรสในจักรพรรดิฮั่นอู่ต้องปลงพระชนม์องค์เอง
สำหรับจงหางเยว่ ชาวฮั่นที่ดูเหมือนเป็นผู้เจริญแล้วนั้น ที่แท้ก็ดีแต่เปลือก แท้ที่จริงก็โหดร้ายไม่ต่างอะไรจากพวกซงหนู เพียงแต่เก็บซ่อนความเน่าเฟะไว้ได้ดีกว่าผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมเนียม”
1
พวกราชทูตฮั่น ถึงแม้ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่จงหางเยว่กล่าว แต่ก็ได้เตือนสติจงหางเยว่ โดยกว่าวว่าลูกผู้ชายจะต้องไม่ทรยศต่อแผ่นดินแม่และองค์จักรพรรดิเป็นอันขาด
คำพูดของราชทูตฮั่นทำให้จงหางเขว่รู้สึกขบขัน เขากล่าวว่า
“แผ่นดินแม่หรือ? แผ่นดินแม่สุดที่รักของข้าทำอะไรแก่ข้าบ้าง? จักรพรรดิฮั่นและเหล่าขุนนางปฏิบัติกับข้าเหมือนมนุษย์คนหนึ่งหรือไม่? ไม่เลย ข้าเป็นทาส ในสายตาของท่าน พวกซงหนูนั้นป่าเถื่อนและโหดร้าย ใช่ แต่พวกเขาก็เรียบง่ายและตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับพวกท่านชาวฮั่น ผู้ที่เรียกตัวว่าเป็นผู้เจริญแล้ว ผู้ซึ่งสวมหนังแกะหากแต่แท้จริงแล้วคือหมาป่าซึ่งชำนาญเรื่องการคิดคดและเจ้าเล่ห์ ตอนนี้ข้าคือส่วนหนึ่งของพวกซงหนู และพวกเขาก็ยอมรับและชื่นชมในความสามารถของข้า และข้าก็ซาบซึ้งในตัวพวกเขาด้วย“
1
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าราชทูตฮั่นจึงได้แต่นิ่งเงียบ เถียงไม่ออก
สำหรับน้องสาวของจงหางเยว่นั้น ตั้งแต่จากกันมา เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับน้องสาวอีกเลย แต่ก็พยายามจะติดตามข่าวคราวของน้องสาวโดยฝากจดหมายไปกับพ่อค้าชาวฮั่น แต่ก็ไม่เคยได้จดหมายตอบกลับ
ในที่สุด จงหางเยว่ก็ได้ข่าวว่าน้องสาวของตนนั้นเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ตนออกจากแผ่นดินฮั่นได้ไม่นาน และยังได้ข่าวอีกว่าที่ผ่านมา ทางการได้ไปก่อกวนน้องสาว ทำให้น้องสาวตนเดือดร้อนอยู่เสมอๆ
1
น้องสาวของจงหาวเยว่นั้นสุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อถูกรังแกและยังซึมเศร้าจากการที่พี่ชายต้องจากไป ก็ทำให้น้องสาวตรอมใจและเสียชีวิตในที่สุด
เมื่อรับทราบข่าวนี้ จงหางเยว่ก็เศร้าโศกเสียใจ หากแต่อารมณ์ที่ตามมาอีกคือ “ความโกรธแค้น”
จงหางเยว่ไม่ต้องการจะทำเพียงแค่สงครามลิ้นกับพวกราชทูตชาวฮั่นแล้ว ความแค้นของเขาไปไกลกว่านั้นมาก
166 ปีก่อนคริสตกาล จงหางเยว่ได้ยุยงให้ผู้นำซงหนูตัดสัมพันธไมตรีกับฮั่น ไม่ยอมรับการเจรจาสันติภาพ และนำทัพทหารซงหนูกว่า 140,000 นายบุกข้ามกำแพงเมืองจีน โจมตีแผ่นดินฮั่นและสังหารทหารฮั่นเป็นจำนวนมาก จับคนเป็นเชลยอีกนับไม่ถ้วน
1
ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีหลังจากนั้น ซงหนูได้เข้ารุกรานแผ่นดินทางเหนืออย่างสม่ำเสมอ โดยผู้ที่เป็นมันสมองและกำลังหลักก็คือจงหางเยว่นี้เอง
1
ผู้นำซงหนูเสียชีวิตเมื่อ 161 ปีก่อนคริสตกาล และจงหางเยว่ก็ได้ทำหน้าที่รับใช้ผู้นำคนต่อมา หากแต่เกิดอะไรขึ้นกับเขาต่อหลังจากนั้น ก็ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ว่ากันว่าเขาเสียชีวิตอย่างสงบบนแผ่นดินทางเหนือ
คำถามสำคัญก็คือ จงหางเยว่คือคนทรยศที่น่าประณามหรือไม่?
ถึงแม้ว่าแผ่นดินฮั่นจะเป็นแผ่นดินแม่ แต่ก็เป็นแผ่นดินที่ไม่เห็นค่าของเขา ทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบากและกดขี่เขามาโดยตลอด
ในแผ่นดินฮั่น จงหางเยว่นั้นไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีชีวิตที่ดี อีกทั้งยังต้องถูกเกณฑ์ให้ขึ้นเหนือทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เต็มใจเลย
แต่ที่ซงหนู ทุกอย่างนั้นตรงกันข้าม
จงหางเยว่ได้อิสระ ได้รับความเคารพ เชื่อใจ และเห็นคุณค่า และที่สำคัญ พวกซงหนูให้อำนาจเขาในการแก้แค้นแผ่นดินแม่ที่ทอดทิ้งเขา
1
ดังนั้น จงหางเยว่จึงทำงานถวายชีวิตแก่พวกซงหนู ถึงแม้ว่าซงหนูจะเป็นศัตรูกับแผ่นดินฮั่น แต่สำหรับจงหางเยว่ ซงหนูคือผู้ให้ชีวิตใหม่
หลายคนอาจจะมองว่าเขาเป็นคนทรยศชาติที่สมควรถูกประณาม แต่สำหรับตัวจงหางเยว่ เขามองว่าตนคือผู้ชนะ คือผู้ที่มีเสรีภาพในการกำหนดชีวิตตนเอง
ที่สำคัญ เขาสามารถแก้แค้นแผ่นดินแม่ที่ทำลายชีวิตเขา
แล้วคุณล่ะ คิดว่าจงหางเยว่สมควรโดนประณามหรือไม่?
References:
https://medium.com/@ChinaUnveiled/a-personal-story-of-a-traitor-who-defied-the-han-empire-in-the-2nd-century-bc-bdfe81c6b962
https://ctext.org/datawiki.pl?if=en&res=385735&remap=gb
https://www.asianstudies.org/publications/eaa/archives/china-versus-the-barbarians-the-first-century-of-han-xiongnu-relations/
https://www.scmp.com/magazines/post-magazine/short-reads/article/3097916/traitors-china-past-and-present-stories-those
ประวัติศาสตร์
30 บันทึก
34
1
15
30
34
1
15
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย