15 พ.ค. เวลา 12:27 • ธุรกิจ

เมื่อ 2 วัยรุ่นล้มอุตสาหกรรมดนตรีแสนล้าน เรื่องราวของ Napster ผู้ปฏิวัติวงการเพลงที่ถูกลืม

นึกภาพย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990s หากเรากำลังขับรถและได้ยินเพลงใหม่ในวิทยุ แล้วชอบเพลง ๆ นั้นมาก และอยากฟังซ้ำอีกครั้ง แต่ตัวเลือกมีจำกัด อาจจะเป็นการบันทึกจากวิทยุลงเทปเปล่า ซึ่งคุณภาพเสียงมักไม่ดีนัก หรือไปที่ร้านเพลงเพื่อซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มเพียงเพื่อเพลงเดียวที่เราชอบ
นี่คือปัญหาที่ผู้บริโภคดนตรีในยุคนั้นเผชิญ อัลบั้มมีราคาแพงและต้องซื้อทั้งอัลบั้มเพื่อให้ได้เพลงที่ชอบเพียงไม่กี่เพลง ไม่มีทางเลือกที่คุ้มค่า ในขณะเดียวกัน อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับการเชื่อมต่อและแบ่งปันความคิดระหว่างผู้คน
ในห้องแชทออนไลน์ปี 1998 ผู้ใช้ที่ใช้ชื่อว่า “Napster” ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ: แทนที่จะพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์แบบรวมศูนย์ ทำไมเราไม่สร้างระบบที่ให้ผู้คนแบ่งปันไฟล์โดยตรงระหว่างกันเอง? แนวคิดนี้เรียกว่าการแชร์ไฟล์แบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P)
ส่วนใหญ่คนในห้องแชทหัวเราะเยาะกับความคิดนี้ แต่มีเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีคนหนึ่งชื่อ Sean Parker ที่เห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในแนวคิดนี้ Parker และ “Napster” หรือ Shawn Fanning ที่อายุเพียง 17 ปี รู้จักกันผ่านอินเทอร์เน็ตมาสองสามปีแล้ว และพวกเขาเริ่มร่วมมือกันพัฒนาแนวคิดที่จะกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
ทั้งคู่ระดมทุนได้ 50,000 ดอลลาร์ และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย Fanning ถึงกับนอนในตู้เก็บของที่สำนักงานของลุงเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เขียนโค้ด กว่าจะพัฒนาโปรแกรมสำเร็จ ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อตามนามแฝงเดิมของ Fanning คือ “Napster”
ในเดือนมิถุนายน 1999 Napster เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในทันที ด้วยการออกแบบที่เรียบง่าย ทำให้ผู้ใช้ที่มีความรู้คอมพิวเตอร์แค่พื้นฐานก็สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลเพลงขนาดใหญ่และดาวน์โหลดได้ฟรี ไม่ว่าจะเป็นเพลงฮิตล่าสุดหรือเพลงเก่าหายาก
ความสำเร็จของ Napster เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีผู้ใช้มากกว่า 20 ล้านคน และภายในปี 2000 ตัวเลขนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคนทั่วโลก นี่คือการปฏิวัติวิธีเสพดนตรีอย่างแท้จริง
ความสำเร็จอันรวดเร็วของ Napster นำมาซึ่งความสนใจจากอุตสาหกรรมเพลง และไม่ใช่ในทางที่ดี ค่ายเพลงและศิลปินหลายคนตระหนักว่า Napster กำลังท้าทายโมเดลธุรกิจดั้งเดิมของพวกเขา ด้วยการทำให้ผู้คนสามารถดาวน์โหลดเพลงฟรีแทนที่จะซื้อ
ปัญหาสำคัญคือแม้ Napster ไม่ได้เก็บไฟล์เพลงบนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเอง แต่เป็นเพียงตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ ซึ่งสร้างพื้นที่สีเทาทางกฎหมาย ไม่ใช่ทุกไฟล์ที่แชร์บน Napster ละเมิดลิขสิทธิ์ หลายเพลงเป็นสาธารณสมบัติหรือได้รับอนุญาตจากศิลปินให้เผยแพร่ได้
แต่แล้วในปี 2000 วงดนตรีเฮฟวี่เมทัลชื่อดังอย่าง Metallica เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เมื่อพบว่าเดโมเวอร์ชันของเพลงใหม่ของพวกเขาถูกเผยแพร่บน Napster โดยไม่ได้รับอนุญาต และถึงกับถูกเล่นบนสถานีวิทยุ ความไม่พอใจนี้ลุกลามไปยังศิลปินคนอื่นๆ เช่น Dr. Dre
Metallica, Dr. Dre และสมาคมอุตสาหกรรมการบันทึกอเมริกา (RIAA) ร่วมกันฟ้องร้อง Napster ในข้อหาละเมิดพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ดิจิทัล (DMCA) โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมาย “safe harbor” ซึ่งปกป้องเว็บไซต์จากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด แต่การปกป้องนี้มีเงื่อนไขว่าเว็บไซต์ต้องไม่ส่งเสริมการละเมิดลิขสิทธิ์โดยเจตนา
ฝ่ายโจทก์อ้างว่า Napster ไม่เพียงละเมิดหน้าที่ในการดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ยังมีบทบาทอย่างแข็งขันในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ละเมิดลิขสิทธิ์ และรู้ดีว่าโปรแกรมกำลังถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ โดยไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อหยุดยั้ง
คดีนี้สร้างความแตกแยกในวงการดนตรี แม้แต่ศิลปินด้วยกันเองก็มีความเห็นต่างกัน Foo Fighters วิจารณ์ Metallica ว่าพวกเขามีเงินมากพออยู่แล้ว และการดาวน์โหลดเพลงไม่กี่เพลงไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่ ในขณะที่ศิลปินอิสระบางคนกลับเห็นว่า Napster ช่วยให้ดนตรีของพวกเขาเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้น
กลุ่มผู้ชื่นชอบดนตรีแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่า Napster เป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้กับค่ายเพลงที่สุดโลภ อีกฝ่ายเห็นว่าการดาวน์โหลดเพลงโดยไม่จ่ายเงินเป็นการขโมยและทำร้ายศิลปิน
การถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ในยุคดิจิทัลกลายเป็นประเด็นสำคัญ เมื่อโลกพยายามเข้าใจว่าแนวคิดเก่าเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาควรปรับตัวอย่างไรในยุคอินเทอร์เน็ต คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มคิดว่าเพลงควรเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายและฟรี ไม่ใช่สินค้าที่มีราคาแพงเกินไป
ในที่สุด ศาลตัดสินให้ Metallica และบริษัทเพลงเป็นฝ่ายชนะ Napster ถูกสั่งให้ลบการเข้าถึงเพลงที่มีลิขสิทธิ์ทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติเนื่องจากมันเป็นส่วนใหญ่ของระบบ บริการจึงถูกปิดชั่วคราวในเดือนกรกฎาคม 2001 และปิดตัวลงอย่างถาวรในที่สุด
แม้ Napster จะมีอายุเพียง 2 ปี แต่ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดนตรีและความบันเทิงนั้นลึกซึ้งและยาวนาน แนวคิด P2P ไม่ได้ตายไปพร้อมกับ Napster แต่กลับเติบโตและพัฒนาต่อไป โปรแกรมอย่าง LimeWire, Kazaa และอื่นๆ อีกมากมายเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ Napster ทิ้งไว้ โดยใช้บทเรียนจากความผิดพลาดของ Napster
1
LimeWire ใช้แนวทางที่ต่างออกไป แทนที่จะมีฐานข้อมูลเพลงรวมศูนย์ซึ่งทำให้ Napster เป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับการฟ้องร้อง โปรแกรมเหล่านี้เพียงให้เครื่องมือสำหรับการดาวน์โหลด ปล่อยให้ผู้ใช้หาฐานข้อมูลเอง ทำให้ยากต่อการปิดกั้นทางกฎหมาย
แต่อุตสาหกรรมดนตรีเองก็เรียนรู้บทเรียนสำคัญจาก Napster เช่นกัน ในปี 2001 เพียงไม่กี่เดือนก่อนการล่มสลายของ Napster Apple เปิดตัว iTunes ซึ่งนำเสนอทางออกที่ make sense : แทนที่จะบังคับให้ผู้บริโภคซื้ออัลบั้มทั้งอัลบั้มในราคา 20 ดอลลาร์ พวกเขาสามารถซื้อเพียงเพลงที่ชอบในราคา 0.99 ดอลลาร์ต่อเพลง
iTunes รักษาความสะดวกสบายของ Napster ไว้ในขณะที่ตอบแทนศิลปินอย่างเป็นธรรม เป็นการประนีประนอมระหว่างค่ายเพลงและผู้บริโภค และนับเป็นความสำเร็จอย่างมาก ตามมาด้วยบริการสตรีมมิงอย่าง Pandora และในที่สุดคือ Spotify ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงเพลงนับล้านออนไลน์ด้วยการสมัครสมาชิครายเดือน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและโปรโตคอลอย่าง BitTorrent ยังทำให้การแชร์ไฟล์ขยายไปสู่สื่อประเภทอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์และวิดีโอเกม ซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นของบริการสตรีมมิงภาพยนตร์และซีรีส์อย่าง Netflix
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่คาดคิด เมื่อการสตรีมมิงกลายเป็นวิธีหลักในการบริโภคสื่อ ความนิยมของสื่อ Physical อย่าง CD และ DVD ลดลงอย่างมาก หลายร้านค้าปิดตัวลง และการผลิตสื่อ Physical ก็ลดลงเรื่อยๆ
ในยุคแรก บริการสตรีมมิงเสนอราคาที่น่าดึงดูดใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและพวกเขากลายเป็นตัวเลือกหลักเพียงไม่กี่ราย ราคาก็เริ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคพบว่าตัวเองกำลังจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับการเข้าถึงเนื้อหาที่พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ
ความท้าทายอีกประการคือการที่ภาพยนตร์และรายการทีวีบางเรื่องหายไปจากแพลตฟอร์มสตรีมมิงเนื่องจากข้อตกลงลิขสิทธิ์หมดอายุ บางครั้งเนื้อหาเหล่านี้ไม่สามารถหาดูที่ไหนได้อีก เพราะไม่มีการผลิต DVD ใหม่ และไม่มีแพลตฟอร์มใดมีสิทธิ์ในการสตรีม จึงกลายเป็น “สื่อที่สูญหาย”
สิ่งที่เริ่มต้นเป็นวิธีให้ผู้คนมีตัวเลือกมากขึ้นในการบริโภคสื่อกลับกลายเป็นระบบที่จำกัดการเข้าถึงและความเป็นเจ้าของในบางแง่มุม นี่คือความย้อนแย้งของการปฏิวัติดิจิทัลที่ Napster เริ่มต้น
Napster อาจจะล้มเหลวในฐานะธุรกิจ แต่แนวคิดของมันยังคงมีชีวิตอยู่และเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราเข้าถึงและบริโภคสื่อตลอดไป มันสอนให้อุตสาหกรรมความบันเทิงเข้าใจว่าตลาดต้องการความสะดวกและราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ยืนกรานในโมเดลธุรกิจเก่าที่ไม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกต่อไป
ความสำเร็จและความล้มเหลวของ Napster เตือนเราว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าต่อไปเสมอ แม้อุตสาหกรรมจะพยายามต่อต้านก็ตาม มันเป็นบทเรียนเกี่ยวกับพลังของนวัตกรรมและวิธีที่แนวคิดเล็กๆ สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้
ปัจจุบัน Shawn Fanning และ Sean Parker ยังคงมีบทบาทสำคัญในวงการเทคโนโลยี Parker เป็นนักลงทุนในบริษัทอย่าง Spotify และเคยเป็นประธานคนแรกของ Facebook ในขณะที่ Fanning ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีอีกหลายแห่ง แม้ว่าความสำเร็จของพวกเขาจะมาจากความล้มเหลวของ Napster แต่มรดกของ Napster ในการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราบริโภคสื่อยังคงมีอิทธิพลต่อโลกดิจิทัลในปัจจุบัน
ในที่สุด Napster ไม่ได้เป็นแค่โปรแกรมแชร์ไฟล์ แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ดนตรีและความบันเทิงดิจิทัล มันเป็นสัญลักษณ์ของการให้อำนาจผู้บริโภคและการท้าทายระบบเก่า ซึ่งนำไปสู่โลกใหม่ที่ทั้งดีขึ้นและซับซ้อนขึ้นในเวลาเดียวกันนั่นเองครับผม
References: [slideshare, pitchfork, rollingstone, wired, techcrunch]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา