จาก ChatGPT สู่เทพ Copilot เมื่อ Code 30-40% ของ Microsoft กำลังถูกขีดเขียนขึ้นด้วย AI
โลกเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในด้าน AI ที่กำลังพัฒนาแบบพุ่งทะยานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การสนทนาระหว่าง CEO ของ Microsoft และ Meta เผยให้เห็นภาพชัดเจนของทิศทางเทคโนโลยี AI ที่จะขีดชะตาโลกในอนาคต
ย้อนกลับไปไม่กี่ปี ผู้คนต่างคิดกันว่า “กฎของมัวร์” กำลังจะหมดอายุขัยไปแล้ว แต่ตอนนี้เรากลับอยู่ในยุคของกฎมัวร์ที่ทำงานในโหมด “ไฮเปอร์ไดรฟ์” CEO ของ Microsoft อธิบายว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงการเกิดขึ้นของ S-curve เดียว แต่เป็นการรวมตัวกันของหลาย S-curve ที่ทำให้ความก้าวทางเทคโนโลยีพุ่งทะยาน
“เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันทุก 6-12 เดือน คุณจะได้ความก้าวหน้าประมาณ 10 เท่า และเมื่อความสามารถเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาที่ลดฮวบในอัตราเดียวกัน การใช้งานก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล” CEO ของ Microsoft กล่าวด้วยความมั่นใจ
จุดพีคของการสนทนาครั้งนี้คือแอปพลิเคชันที่ใช้โมเดล AI หลายตัวร่วมกัน แทนที่จะผูกติดกับโมเดลเดียวแบบก่อนหน้านี้ ตอนนี้เราอยู่ในยุคของแอปพลิเคชันมัลติโมเดลที่สามารถประสานงานผ่าน workflow ที่มีทิศทางแน่นอน
“เรายังมี protocols เช่น MCP หรือ A2 ที่ช่วยสร้างมาตรฐาน ทำให้เราสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้ประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้ได้อย่างยืดหยุ่น และนี่คือจุดที่ open source มีบทบาทสำคัญมหาศาล” CEO ของ Microsoft เสริม
ประเด็นเรื่อง open source เป็นที่ถกเถียงกันในวงการเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน CEO ของ Microsoft เล่าว่าประสบการณ์ในการทำงานกับ Unix ในช่วงต้นอาชีพสอนให้รู้ว่า “interoperability” หรือการทำงานร่วมกันได้คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
“ผมไม่ได้เป็นคนเชื่อแบบฝังหัวเกี่ยวกับ closed source หรือ open source ทั้งสองอย่างต้องมีในโลกนี้ และลูกค้าจะเรียกร้องทั้งสองแบบ” การมีทั้ง SQL Server และ MySQL, Windows และ Linux ล้วนตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
เมื่อพูดถึงโครงสร้างพื้นฐานของ Azure ต้องเข้าใจว่า workload AI ไม่ได้มีเพียง AI accelerator และโมเดลในช่วง inference เท่านั้น แต่ต้องการ storage, compute และ network ที่พึ่งพากันด้วย
“โครงสร้างพื้นฐานหลักสำหรับเราใน Azure คือ เราต้องการสร้าง compute, storage, network บวกกับ AI accelerators ในฐานะ infrastructure as a service ระดับโลกสำหรับคนที่ต้องการสร้างเอเจนต์รุ่นต่อไป” CEO ของ Microsoft อธิบาย
ทีม Microsoft ได้เรียนรู้จาก Mark Zuckerberg ว่าต้องบูรณาการเข้ากับ repo และขั้นตอนการทำงานปัจจุบัน ไม่ใช่สร้างระบบใหม่ทั้งหมด เพราะไม่มีใครทำงานกับของใหม่ทั้งหมดตลอดเวลา
ในด้านประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น CEO ของ Microsoft ยกตัวอย่างการเตรียมตัวพบลูกค้าองค์กรที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 1992 ที่เข้า Microsoft
ขณะนี้ Microsoft มีอัตราการยอมรับโค้ดจาก AI อยู่ที่ 30-40% และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้อจำกัดหนึ่งคือโค้ดจำนวนมากเป็น C++ ซึ่งทำงานได้ไม่ดีเท่า Python ประมาณว่า 20-30% ของโค้ดในบางโปรเจ็กต์ถูกเขียนโดย AI แทบจะทั้งหมด
ส่วนทาง Meta กำลังทุ่มเทกับการสร้าง AI และวิศวกร machine learning เพื่อพัฒนา Llama ต่อไป โดยเชื่อว่าในปีหน้าครึ่งหนึ่งของการพัฒนาจะถูกทำโดย AI แทนคน แล้วจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น
ตามข้อมูลล่าสุด Meta กำลังลงทุนมหาศาลในการพัฒนา AI infrastructure สำหรับโมเดล Llama โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชิปและการวิจัยระบบ AI ส่วน Microsoft ใช้งบลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการขยาย Azure AI services
ขั้นตอนการทำงานส่วนบุคคลของ CEO ทั้งสองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง CEO ของ Microsoft พูดถึงขอบเขตระหว่างเอกสาร แอปพลิเคชัน และเว็บไซต์ที่กำลังเลือนรางลงไปเรื่อย ๆ การแชทสามารถเก็บในเอกสาร และพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ขอบเขตระหว่าง Word, Excel, PowerPoint ก็อาจหลอมรวมกัน “คุณสามารถเริ่มใน Word แสดงภาพเป็น Excel แล้วนำเสนอด้วย PowerPoint โดยทุกอย่างถูกเก็บเป็นโครงสร้างข้อมูลเดียว”
ความแตกต่างในกลยุทธ์ของทั้งสององค์กรก็น่าสนใจไม่แพ้กัน สำหรับ Meta เน้นการใช้ AI ปรับปรุงการพัฒนาภายในและพัฒนาโมเดล Llama ที่คนอื่นสามารถใช้ได้ แต่ไม่ได้ใช้กับขั้นตอนการทำงานทั้งหมดเหมือน Microsoft
ด้วยการลงทุนมโหฬารของ Microsoft ที่คาดว่าจะใช้เงินถึง 80 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 สำหรับศูนย์ข้อมูล AI และ Meta ที่ทุ่มทุนถึง 65 พันล้านดอลลาร์สำหรับโครงสร้างพื้นฐาน AI แสดงให้เห็นว่าทั้งสองยักษ์ใหญ่นี้กำลังรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรม
ท้ายที่สุด การสนทนานี้แสดงให้เห็นทั้งการแข่งขันและความร่วมมือระหว่างผู้นำเทคโนโลยีที่กำลังปลุกปั้นอนาคตของ AI ทั้งในบริบทขององค์กรขนาดใหญ่และ ecosystem ทางด้านเทคโนโลยีโดยรวม ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะจินตนาการได้ในทศวรรษหน้า
ความก้าวหน้าของ AI และกระบวนการทำงานที่เปลี่ยนไปจะปฏิวัติวิธีการพัฒนาซอฟต์แวร์และการทำงานขององค์กรทั่วโลกอย่างถึงที่สุด เหมือนเป็นการเสกโลกใบใหม่ที่เทคโนโลยีจะเป็นศูนย์กลางของทุกธุรกิจและกิจกรรมของมนุษย์นั่นเองครับผม