16 พ.ค. เวลา 02:22 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Product Management ไม่ใช่แค่ทำตามตำรา

เมื่อเชฟใหญ่สอนให้พลิกแพลงด้วยวัตถุดิบที่มี (ในบริบทเวอร์ชันองค์กรไทยๆ) 🍳⚒️🔥
====
🎯 Product ไม่ได้ล้ม เพราะไม่มี Framework — แต่มักล้มเพราะ 'ยึดติด Framework แบบไม่เข้าใจแก่น'
ในโลกความจริงขององค์กรไทย โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่กำลัง ‘เร่ง ทำ Transformation'  เรามักเห็นภาพที่ซ้ำซาก...จ้างที่ปรึกษามาหลายล้าน แต่องค์กรได้ Agile package กลับไปเป็นพิธีกรรม 🧾🚨
📦 Package เหล่านั้นประกอบด้วย อาธิเช่น
* จัด Scrum, จัด Sprint เหมือนอ่านออกมาจาก textbook
* ตั้ง Squad, Tribe, Chapter แบบ Spotify Clone 🌀 แบบไม่ได้เข้าใจความตั้งใจของโมเดล
* สร้างตำแหน่ง Scrum Master / PO / Agile Coach ขึ้นมาทับซ้อนกับ PM, BA เดิมที่มีอยู่แล้ว จนโครงสร้างองค์กรซ้อนเป็นชั้นๆ แบบงงๆ
* ยัด SaFe เข้าไปทั้งระบบ โดยไม่เคยถามเลยว่าองค์กรมี scale ใหญ่พอไหม หรือแม้แต่มี product strategy ที่ชัดหรือยัง
👥 ดูเหมือนทันสมัย แต่กลับทำให้ เกิดตัวอย่างเช่น
* 'โครงสร้างหน้าที่สับสน' เพราะมีหลาย role ซ้อนทับกัน เช่น PM ยังอยู่ แต่ดันเพิ่ม PO ที่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ไม่มี budget ไม่มีอำนาจ sign-off หรือ prioritize เองได้ กลายเป็นแค่ 'ตัวกลางส่งต่องาน' ที่ไม่มีน้ำหนักจริงในสายตาทีม 🧩
* 'Decision-making กระจัดกระจาย' เพราะไม่มีใครกล้า call shot จริง ทุกเรื่องต้องวนกลับไปหา exec หรือเจอ pattern เดิมคือ "ต้องถามคนข้างบนก่อน" ทำให้เสีย momentum ทุกครั้งที่ทีมจะเดินหน้า 🕰️
* 'Ownership หายไปแบบไร้ร่องรอย' เพราะทุกคนเริ่มไม่แน่ใจว่างานที่ทำเป็นของใคร ใครต้องรับผิดชอบอะไรแน่ บางที PO เขียน spec แต่ต้องให้ PM ไปคุยกับลูกค้า บางทีทีม dev ต้องไปหาข้อมูลเองจาก stakeholder เพราะไม่มีใคร answer ได้แบบเต็มปาก ❓
* 'ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่เคยดีขึ้น' เพราะ backlog ที่วิ่งอยู่ไม่เคยย้อนกลับไป validate กับผู้ใช้จริง ทุกอย่างกลายเป็น project-centric มากกว่าจะเป็น value-centric 🔁
และที่แย่กว่านั้นคือ...❗️คนในทีมเริ่มหมดศรัทธาในคำว่ากระบวนการใหม่ เช่น Agile เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เจอคือ
* Daily ที่ไม่มีใครฟังใคร ทุกคนแค่รายงานส่งๆ เพราะถูกบังคับให้ต้องมี
* Retro ที่มีแต่ความอึดอัด ไม่กล้าเปิดใจจริง เพราะพูดไปก็ไม่มีคนแก้ หรือไม่รู้ว่าพูดไปแล้วจะกระทบใคร
* Sprint Planning ที่ไม่มี roadmap รองรับ ทำให้งานกลายเป็น reactive ไม่มีทิศทาง และไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
* Backlog ที่เต็มไปด้วย ticket เล็กๆ ที่ถูกโยนมาจากฝ่ายอื่นๆ โดยไม่ได้ผ่านการ validate จริงว่าผู้ใช้ต้องการอะไร
🧨 สุดท้ายสิ่งที่ควรเป็น Agile หรือ Product management ในคราบ Agile ที่ติดตั้ง กลับกลายเป็นพิธีกรรมที่ 'ดูดีแต่ไร้ชีวิต' และที่เจ็บกว่าคือ “คนในทีมรู้สึกหมดพลัง” เพราะไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร และใครกันแน่คือเจ้าของ product จริงๆ
====
🔍 กับดักที่องค์กรตกหลุมซ้ำซาก — "คิดว่า Framework คือทางลัดสู่ความสำเร็จ"
David Pereira ผู้เชียวชาญด้าน Product Management — บอกไว้ชัดเจนว่า “Framework ไม่ใช่ยาวิเศษ” 🧪 แต่มันคือ ‘เครื่องมือ’ ที่ต้องใช้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ศรัทธาแบบงมงาย
ในองค์กรจริง...สิ่งที่ควรเกิดก่อน ไม่ใช่การติดตั้ง Framework หรือการรีบจัด Scrum แต่คือการตั้ง 'คำถามที่กล้าพอ' ที่จะสะท้อนสภาพจริงขององค์กร
* ปัญหาที่องค์กรเราต้องการแก้จริงๆ คืออะไร? เป็นเรื่องของระบบ? คน? หรือ mindset?
* อุปสรรคที่ขัดขวาง Product Team จริงๆ คืออะไร? เป็นเรื่องโครงสร้างอำนาจ? การสื่อสารที่ขาด? หรือวัฒนธรรมที่ไม่ปลอดภัยพอจะลองผิด?
* วัฒนธรรมองค์กรเราพร้อมรับการทำงานแบบไหน? เป็น top-down อย่างแท้จริง? หรือพอมีพื้นที่ให้ทดลองการทำงานแบบ cross-functional?
* เราอยากได้ 'ผลลัพธ์แบบไหน' และวัดความสำเร็จด้วยอะไร? OKRs ที่คนเข้าใจตรงกัน? หรือ checklist ที่ใช้ส่งรายงานให้ consultant?
* ใครคือ 'เจ้าของการเปลี่ยนแปลง' ตัวจริง? มีการ empower เขาให้ drive transformation อย่างแท้จริงหรือยัง?
เพราะถ้าไม่ตั้งคำถามพวกนี้ก่อน...ไม่ว่าคุณจะติดตั้งอะไรมาก็อาจกลายเป็นแค่ "หน้ากากของความเปลี่ยนแปลง" ที่ดูดี แต่ข้างในยังเหมือนเดิม 💣
🤖 แล้วก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิด หรือเอามาติดตั้งก็จะกลายเป็น
“Agile or process as a checkbox. ทุกคนดู busy, แต่ไม่มีใครรู้ว่า busy ไปเพื่ออะไร?"
====
🧠 Product Management ที่ดี ไม่ได้เกิดจากการ 'เดินตามแผน' แต่เกิดจาก 'แก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างชาญฉลาด'
เหมือนเชฟมือโปรที่ไม่เคยโทษวัตถุดิบ แต่รู้จักพลิกแพลงสูตรตามของที่มี... PM ที่แท้จริงก็ต้องรู้ว่า
* ทีมเราเก่งอะไร — เราต้องถามตัวเองก่อนว่า core strength ของทีมคืออะไร เช่น dev ทีมเราเก่งด้าน optimization หรือ automation ก็อาจเริ่มจาก use case ที่ตอบโจทย์จุดนี้ ไม่ใช่บังคับให้ทุกคนไปทำ Design Thinking หรือ Research ที่ไม่มีคนทำเป็น เพราะ 'ฝืนสูตรสำเร็จ' มักพังมากกว่าสร้าง 💪⚒️
* ของเราขาดอะไร — ถ้าไม่มี UX designer จริงในทีม ก็ไม่ต้องฝืนทำ journey map แบบ textbook หรือไล่สัมภาษณ์ผู้ใช้แบบครบสูตร แต่หาวิธี validate แบบ lean เช่น ทดลอง paper prototype กับคนในออฟฟิศ หรือใช้ data ที่มีอยู่แล้วมาประกอบการตัดสินใจ 🔍📉
* โครงสร้างองค์กรเราเอื้ออะไร — ถ้าองค์กรยังเป็น top-down มาก มี layer approval หลายชั้น อย่าเพิ่งฝันถึง autonomy เต็มขั้น แต่ให้เริ่มจากการ set expectation กับผู้บริหารว่าเราจะ test แบบไหน อนุมัติก่อนหรือหลัง และการปรับ scope ต้องมีใคร approve บ้าง เพื่อสร้าง 'safe space' ให้ทีมพอได้ลองบ้าง ไม่ใช่ติดล็อกทุกด่าน 🧱🔓
* ผู้ใช้งานเราเข้าถึงได้แค่ไหน — ถ้าทีมเข้าไม่ถึงลูกค้าโดยตรง เช่น อยู่หลัง B2B layer หรือ reseller ให้หาทางเข้าใกล้ insight ด้วยวิธีอื่น เช่น วิเคราะห์ ticket support, เข้าไปอ่าน feedback ของ sales หรือแม้แต่ดู log ใช้งานจริง เพื่อเข้าใจ pain โดยไม่ต้องรอ research แบบ textbook 🧾📞
* รูปแบบงานเราเป็นยังไง — ถ้า nature ของ product เป็นงาน BAU หรือ support system ที่ไม่ได้เปลี่ยนทุก sprint อย่าพยายามใช้ sprint planning แบบ delivery-driven แต่ให้ focus ที่ impact และ cycle การ improve คุณภาพเป็นหลัก 🌀📌
❗️เพราะถ้าคุณเล่นเกมผิด แม้จะมีของครบ คุณก็แพ้ได้อยู่ดี
====
⚠️ บทเรียนจากของจริง "ปัญหาที่พบบ่อยในบริษัทไทย โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ"
1. มี Scrum Master แต่กลายเป็น 'เลขานุการการประชุม' 📅 คอยจด action item อย่างเดียว โดยไม่มีอำนาจในการ follow up, unblock หรือจัดลำดับความสำคัญของปัญหาจริง ทำให้ทีมรู้สึกว่าเขาไม่มีบทบาทในผลลัพธ์เลย
2. มี PO แต่ไม่เคยกล้าตัดสินใจอะไรเลย 🏃‍♀️💨 เพราะทุกเรื่องต้องวิ่งไปถาม boss หรือ stakeholder ที่อยู่นอกทีม กลายเป็น bottleneck ที่ทั้งเหนื่อยเองและทำให้ทีมรอคำตอบไปวันๆ บางกรณี PO มีตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจ จึงกลายเป็น "ผู้นำปลอมๆ" ที่ไม่สามารถสร้าง momentum ให้ทีมได้
3. มี Sprint แต่ไม่เคยได้ deliver อะไรเลย 🗂️ เพราะ Backlog ยังไม่มี strategy และไม่มี vision ที่ชัดเจน ทีมเลยคิดทีละ Sprint แบบวนลูป ทำไปวันๆ แค่เพื่อให้ทัน demo แต่ไม่มี sense ว่ากำลังเดินไปทางไหน หรือสิ่งที่ทำอยู่มี impact ต่อผู้ใช้จริงหรือไม่
4. คนในทีมพูดว่า “ไม่ต่างจาก waterfall แค่มี daily, บังคับให้ demo กับ retro เพิ่มเข้ามา” 😓 เพราะในความเป็นจริง ทุกการตัดสินใจยังคง top-down ทุกอย่างเปลี่ยนแค่รูปลักษณ์ แต่แก่นยังเหมือนเดิม พิธีกรรม Agile กลับสร้างความเหนื่อยล้าโดยไม่เติมพลังหรือสร้างความเข้าใจให้ทีม
เพราะแทนที่จะ empower คน ให้มีอิสระในการ build, test, learn กลับไปเน้นพิธีกรรมจน 'หมดใจ'
====
🚀 แล้วจะไปทางไหนต่อดี? 5 ทางออกของ Product Team ที่อยากพัฒนาในองค์กรไทย? 🚧🔧📈
1. เริ่มจาก Pain Point จริง ไม่ใช่ Framework ที่ใครขายมา 🧠📍 อย่าเริ่มด้วยคำว่า “ควรใช้ Scrum หรือเปล่า?” แต่ให้เริ่มด้วยคำว่า “อะไรคือ pain ที่เราต้องแก้?” ถามทีมว่าอะไรคืออุปสรรคที่แท้จริงในการส่งมอบคุณค่า เช่น ความไม่ชัดของเป้าหมาย, ขาดผู้ใช้งานต้นทาง, หรือติด approval หลายชั้น แล้วค่อย “เลือกวิธีการ” ที่เหมาะกับโจทย์นั้นๆ ไม่ใช่เลือกจากกระแส
2. ใช้ Framework อย่างมีสติ ไม่ใช่ศรัทธา 🧭⚙️ Framework ที่ดีไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ แต่คือ “เครื่องมือช่วยคิด” ที่ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น ถ้า dev ยังไม่เข้าใจผู้ใช้จริง ก็อย่าเร่งวิ่ง sprint สุ่มสี่สุ่มห้า แต่ให้ pause แล้ว build understanding ก่อน หรือถ้า culture ยัง top-down แรง ก็อาจต้องใช้ framework แบบ hybrid หรือปรับให้สร้าง trust ก่อนจะ scale Agile เต็มรูปแบบ
3. Product Mindset สำคัญกว่า Agile Process 🔍💡 คุณอาจ daily ทุกเช้า retro ทุกศุกร์ แต่ถ้า team ยังไม่รู้ว่า product นี้แก้ pain อะไรของใคร ยังไง... ritual เหล่านั้นก็แค่พิธีกรรมที่ไม่สร้าง value จริง สิ่งสำคัญกว่าคือให้ทีม “เข้าใจโจทย์”, “เห็นลูกค้า” และ “รู้ว่าความสำเร็จคืออะไร” จากนั้นจึงเลือกใช้ process ที่ตอบเป้าหมายนั้น ไม่ใช่ใช้เพื่อโชว์ความ Agile
4. ปลดล็อกโครงสร้างและอำนาจการตัดสินใจจริง (Empowered Team > Named Roles) 🗂️🔓 ถ้า PO ต้องขออนุมัติก่อนทุกคำตัดสินใจ... นั่นไม่ใช่ Product Team ครับ นั่นคือคนกลางส่งไม้ relay ถ้าอยากให้ทีมขับเคลื่อนได้จริง ต้อง “ชัดเจน” ว่าใครมีสิทธิ์ call shot เรื่อง roadmap, prioritize, scope change หรือแม้แต่การบอก stakeholder ว่าไม่ทำบาง feature
— เพราะ autonomy โดยไม่มีอำนาจ ก็คือภาระที่แตะอะไรไม่ได้เลย
5. วัดคุณค่าที่สร้างได้ ไม่ใช่แค่ complete task ได้ตาม process 🎯📊 เป้าหมายของ Product Team ไม่ใช่การปิด story point, แต่คือ “การเปลี่ยนชีวิตผู้ใช้ให้ดีขึ้น” คุณอาจ burn down chart ดีทุก sprint แต่ถ้า feature ที่ปล่อยไม่มีใครใช้ หรือไม่เปลี่ยนอะไรเลยในพฤติกรรมของ user นั่นคือเสียงเตือนแล้วว่า team อาจวัดผิด KPI ต้องกลับมาถามว่า “สิ่งที่เราส่งมอบ มีผลลัพธ์จริงหรือยัง?” ไม่ใช่แค่ส่งของให้ครบแล้วจบ
====
💥 ดังนั้น Framework จะช่วยคุณได้ ก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่าคุณกำลังจะไปไหน
“สุดยอดเชฟไม่ได้ต้องการวัตถุดิบที่แพงที่สุด...แต่ต้องการอิสระในการคิด ปรุง และปรับเปลี่ยนเพื่อให้คนกินมีความสุข” 🍽️👨‍🍳
Product Management ก็เช่นกัน อย่ากลายเป็น 'กองครัวที่มีแต่เครื่องมือแพง แต่ไม่มีรสชาติ' เลยครับ
ให้เวลาสร้าง Team ที่ 'เข้าใจโจทย์' และ 'มีอิสระในการแก้ปัญหา' แล้วค่อยเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมมาเสริม 👩‍🍳🛠️
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ProductManagement
#BeyondAgile
#DavidPereira #MindsetMatters
โฆษณา