16 พ.ค. เวลา 15:01 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🚀 สร้าง Product ที่ ‘รักตั้งแต่แรกเห็น’ และ ‘รักไปนานๆ’

(“จาก MVP → MLP → สู่ MEV” ยกระดับจากฟีเจอร์พื้นฐาน สู่ประสบการณ์ที่ตราตรึง)
ในโลกที่ผู้ใช้งานมีตัวเลือกไม่รู้จบ และเปลี่ยนใจได้ภายใน 0.05 วินาที—“Product ที่แค่พอใช้งานได้” มักจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แต่ “Product ที่มอบคุณค่าทางอารมณ์สูงสุด (Maximum Emotional Value: MEV)” ต่างหาก คือคำตอบที่จะอยู่ในใจผู้ใช้…และในตลาด…ไปอีกนาน
====
🧭 จาก MVP → MLP → สู่ MEV: เส้นทางสู่ Product ที่ผู้ใช้ 'หลงรัก'
* MVP (Minimum Viable Product) = “ใช้งานได้พอทดสอบ”
* MLP (Minimum Lovable Product) = “ใช้แล้วรู้สึกดี อยากกลับมา”
* MEV (Maximum Emotional Value) = “ใช้แล้วผูกพันลึกซึ้ง พร้อมบอกต่อ-จ่ายเงิน-รักจริง”
เพราะ ‘ความรักครั้งแรก’ ยังไม่พอ หากไม่มี ‘ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน’ — MEV จึงเป็นเป้าหมายใหม่ของการพัฒนา Product ในยุคที่ “ความรู้สึก” คือสกุลเงินที่สำคัญที่สุด
====
💡 MEV คือเป้าหมายใหม่ของ Product ที่ยั่งยืน
Maximum Emotional Value (MEV) คือ ระดับสูงสุดของคุณค่าทางอารมณ์ที่ผู้ใช้รู้สึกเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่ใช้แล้วดี แต่คือ “ใช้แล้วรู้สึกถึงบางอย่าง” ที่มีความหมาย
Product ที่มี MEV สูง
* “คนไม่อยากเปลี่ยน” แม้มีตัวเลือกใหม่
* “คนแชร์ด้วยตัวเอง” โดยไม่ต้องโฆษณา
* “คนรู้สึกเหมือนมีเพื่อน ไม่ใช่แค่ใช้เครื่องมือ”
🔸 1. Touchpoint ที่ตรึงใจ
ทุกหน้าจอ ทุกข้อความ ทุกเสียงตอบกลับ ควรเป็น “จุดสร้างอารมณ์” ไม่ใช่แค่ “ข้อมูล”
* ตัวอย่าง: Google Maps เดาเส้นทางล่วงหน้า, Netflix มีเสียงเปิดแอปที่ตราตรึง
* กลยุทธ์: ใช้ Copywriting ที่เป็นมิตร, ออกแบบ UX ให้สะท้อน empathy
🔸 2. Brand Personality ที่จริงใจ
Product ที่พูดเหมือนมนุษย์ ทำให้ผู้ใช้ “รู้สึกใกล้ชิด” มากกว่า Product ที่พูดเหมือนหุ่นยนต์
* ตัวอย่าง: Duolingo มีนกแซวเราแบบเพื่อน, Calm ใช้เสียงนุ่มเพื่อกล่อมจิตใจ
* กลยุทธ์: วาง tone & voice ที่ consistent ทุก touchpoint ไม่ว่าบนแอป อีเมล หรือ social
🔸 3. Aha + Wow Moment
* Aha Moment คือจุดที่ผู้ใช้เข้าใจว่า Product นี้ “มีค่า” กับชีวิต เช่น Notion รวมทุกอย่างไว้ในหน้าเดียว
* Wow Moment คือความประหลาดใจที่เกินคาด เช่น Figma ที่ collaboration ได้แบบ real-time
* กลยุทธ์: ออกแบบ onboarding ให้เจอ Aha ภายใน 3 นาที, เพิ่ม layer พิเศษเล็กๆ เช่น animation หรือ gimmick ที่คาดไม่ถึง
🔸 4. Emotional Stickiness
คนอาจโหลดหลายแอป แต่จะมีไม่กี่แอปที่ “รู้สึกผูกพัน” และ “เลิกใช้ไม่ได้”
* ตัวอย่าง: Spotify ใช้ Wrapped เพื่อให้ผู้ใช้ย้อนดูตัวเองทุกปี
* กลยุทธ์: เพิ่ม Personal Milestones เช่น "วันนี้คุณฟังครบ 1,000 เพลงแล้ว!" หรือ "คุณเพิ่งสร้างโน้ตลำดับที่ 100 แล้วนะ!"
🔸 5. Social Signal: ใช้แล้วอยากแชร์
ถ้า Product ของคุณ “ทำให้ผู้ใช้รู้สึกภูมิใจ” — พวกเขาจะอยากแชร์เอง
* ตัวอย่าง: Canva ให้ผู้ใช้แชร์ดีไซน์ได้ง่าย, BeReal ใช้คอนเซปต์ real-life ที่คนอยากอวด
* กลยุทธ์: ทำให้ moment สำเร็จของผู้ใช้เป็นเรื่องใหญ่ เช่น ป้าย Badge, การประกาศแบบ playful
====
🧠 จาก ‘แค่ใช้ได้’ → สู่ ‘ใช้แล้วรัก’ = จาก MLP → สู่ MEV
* MLP ทำให้ “เริ่มใช้”
* MEV ทำให้ “อยากใช้ต่อ – และอยากให้คนอื่นใช้ด้วย”
เป้าหมายของเราคือ “Product ที่คนรักตั้งแต่แรกเห็น และรักไปนานๆ”
====
✨ ในโลกที่ ‘ความรู้สึก’ คือสกุลเงินของแบรนด์ — จงอย่าแค่รอด แต่ต้องตราตรึง
“อย่าสร้าง Product ที่คนแค่ใช้ แต่ไม่มีใครจำ”
“แต่จงสร้าง Product ที่คน ‘รู้สึกดี’ เมื่อใช้ และ ‘รู้สึกขาดไม่ได้’ เมื่อหายไป”
เพราะสุดท้าย แบรนด์ที่ชนะ คือแบรนด์ที่มี MEV สูงสุดในใจผู้ใช้ ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เยอะ หรือเปิดตัวเร็ว (MVP)
💡 เลิกคิด MVP แต่ให้เริ่มที่ MLP แต่ต้องไม่หยุดที่แค่ความน่ารัก — “เพราะ MEV คือเป้าหมายที่แท้จริงของ Product ที่จะอยู่รอดไปอีกนาน”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#MEV > MVP
#EmotionalDesign
#ProductThatWinsHearts
#FromLovableToLegendary
โฆษณา