16 พ.ค. เวลา 15:59 • นิยาย เรื่องสั้น

สาทรสองยุค สองบ๊อบ หนึ่งหัวใจ (ที่ยังปั่น)

ปี 2548
สวัสดีครับ ผมบ๊อบครับ ตอนนี้อายุ 14 ขวบ กำลังเป็นวัยรุ่นหัวเกรียน (ตามสมัยนิยม) ที่สาทรนี่แหละครับ แถวคอนโดพ่อแม่ ผมเป็นเด็กไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ ชอบโดดเรียนไปเตะบอลกับเพื่อนที่สนามข้างตึกมากกว่า วิชาที่ชอบที่สุดคือพักกลางวัน ส่วนวิชาที่เกลียดที่สุด… อืม… ทุกวิชาที่ต้องนั่งในห้องสี่เหลี่ยม ยกเว้นคาบพลศึกษา
วันนี้ก็เหมือนเคย ผมโดดเรียนคาบภาษาไทย (อีกแล้ว) มานั่งเล่นเกมตู้หยอดเหรียญอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแถวสาทรนี่แหละครับ เกมที่เล่นก็เกมเดิม “สตรีทไฟเตอร์” ผมชอบเล่นเป็นริว ถึงจะกดท่าไม่ค่อยจะติดก็เถอะ กำลังโซ้ย “โชริวเคน” มั่วๆ อย่างเมามันส์ เสียงเหรียญดัง “กริ๊ง… กริ๊ง…” อย่างมีความสุข
“ไอ้บ๊อบ! มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย!” เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ผมหันขวับไปเจอพี่ป้อม ยามหน้าคอนโดพ่อแม่ ที่แกชอบทำหน้าดุๆ แต่ใจดีสุดๆ นั่นเอง
“พี่ป้อม! ผม… ผมมาซื้อขนมครับ” ผมโกหกหน้าตาย
พี่ป้อมแกเลิกคิ้วสูง “ขนมแถวนี้มันอร่อยกว่าร้านหน้าโรงเรียนเหรอไง? แล้วนี่มันเวลเรียนไม่ใช่รึไง?”
ผมหน้าเจื่อน รีบก้มหน้าก้มตา “ผม… ผมปวดท้องครับพี่ เลยแวะมาเข้าห้องน้ำ”
พี่ป้อมถอนหายใจยาว “เฮ้อ… ไอ้เด็กคนนี้นี่มันจริงๆ เลย พ่อแม่ส่งมาเรียนหนังสือ ไม่ใช่ให้มาเล่นเกม เข้าใจไหม?”
ผมพยักหน้าหงอยๆ “ครับพี่…”
“เอานี่” พี่ป้อมยื่นขนมปังไส้กรอกที่แกกำลังกินอยู่ให้ผม “กินรองท้องไป แล้วรีบกลับบ้านไปซะดีๆ บอกพ่อแม่ด้วยว่าปวดท้องมาก” แกขยิบตาให้ผมข้างหนึ่ง
ผมยิ้มกว้าง รีบรับขนมปังมา “ขอบคุณครับพี่ป้อม! พี่ใจดีที่สุดเลย!”
พี่ป้อมหัวเราะเบาๆ “ไปๆ ไปได้แล้ว ซนจริงๆ”
ผมรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น พร้อมกับขนมปังไส้กรอกในมือ รอดตัวไปอีกวัน! สาทรปี 2548 นี่มันวุ่นวายดีจริงๆ เลยครับ
ปี 2568
สวัสดีครับ ผมบ๊อบครับ ตอนนี้อายุ 34 ปีเต็มๆ ทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งแถวสาทรนี่แหละครับ ชีวิตก็เรื่อยๆ มาเรียงๆ ตื่นเช้าไปทำงาน เลิกงานก็กลับคอนโด (ที่เดิมกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ซื้อเป็นของตัวเองแล้ว) บางทีก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้างตามประสาคนโสด
วันนี้เป็นวันที่งานยุ่งสุดๆ ผมนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หัวแทบระเบิดกับงานออกแบบชิ้นใหม่ที่ลูกค้าแก้แล้วแก้อีก จนผมเริ่มสงสัยว่าจริงๆ แล้วเขาอยากได้อะไรกันแน่
“บ๊อบ! เสร็จรึยังเนี่ย?” เสียงพี่เอ หัวหน้าทีมดังมาจากหน้าห้อง
“ใกล้เสร็จแล้วครับพี่เอ อีกนิดเดียว” ผมตอบกลับไปพลางถอนหายใจยาวๆ มองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว
“รีบๆ หน่อยนะ พรุ่งนี้เช้าต้องส่งลูกค้าแล้ว” พี่เอว่าแล้วก็เดินกลับไป
ผมก้มหน้าก้มตาทำงานต่ออย่างเหนื่อยอ่อน ท้องก็เริ่มร้องประท้วง แต่ก็ไม่อยากลุกไปไหน ขี้เกียจสุดๆ
“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามาได้ครับ” ผมตอบไปโดยไม่ได้เงยหน้า
ประตูเปิดออกช้าๆ ปรากฏร่างของลุงยามคนใหม่ (พี่ป้อมเกษียณไปเมื่อ 5 ปีก่อน) แกถือถุงอะไรบางอย่างเข้ามา
“คุณบ๊อบครับ ผมเห็นไฟห้องคุณยังเปิดอยู่ นึกว่ายังไม่ได้ทานอะไร เลยซื้อข้าวมาให้ครับ” ลุงยามยิ้มใจดี
ผมเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ “ลุง… ไม่เป็นไรครับ ผมสั่งเดลิเวอรี่ไว้แล้ว” (ถึงจะยังไม่ได้สั่งก็เถอะ)
“ทานหน่อยเถอะครับ ผมเห็นคุณทำงานหนักทุกวันเลย ทานให้อิ่มๆ จะได้มีแรงทำงานต่อ” ลุงยามวางถุงข้าวลงบนโต๊ะทำงานของผม
ผมมองถุงข้าวแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ในยุคที่ทุกคนต่างเร่งรีบและใส่ใจแต่เรื่องของตัวเอง ยังมีคนแปลกหน้าที่แสดงความหวังดีกับผมแบบนี้
“ขอบคุณมากนะครับลุง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
ลุงยามยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไรครับ ทานให้อร่อยนะครับ ผมไปทำงานต่อแล้ว”
หลังจากลุงยามเดินออกไป ผมมองถุงข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีข้าวผัดกระเพราหมูสับ ไข่ดาว และน้ำเปล่าหนึ่งขวด กลิ่นหอมๆ ของกระเพราโชยมาเตะจมูก ผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันที
ผมเปิดกล่องข้าวแล้วตักเข้าปาก คำแรกที่สัมผัสลิ้นทำให้น้ำตาผมแทบไหล รสชาติมันเหมือน… เหมือนข้าวผัดกระเพราฝีมือแม่ที่ผมไม่ได้กินมานานมากแล้ว
ระหว่างที่กินข้าว ผมก็นึกถึงเรื่องราวในอดีต นึกถึงพี่ป้อมยามใจดีที่เคยซื้อขนมปังให้เด็กเกเรอย่างผม นึกถึงความวุ่นวายและสีสันของสาทรเมื่อ 20 ปีที่แล้ว และนึกถึงความเหงาและความเหนื่อยล้าในสาทรปี 2568
ถึงแม้เวลาจะผ่านไป สาทรจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ตึกสูงเสียดฟ้า รถไฟฟ้าวิ่งวุ่น แต่ความอบอุ่นและความมีน้ำใจของผู้คนก็ยังคงอยู่ เหมือนกับข้าวผัดกระเพราจานนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้รับความรักและความห่วงใยจากคนรอบข้าง
ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา สาทรปี 2568 อาจจะดูวุ่นวายและแข่งขัน แต่ในมุมเล็กๆ ก็ยังมีความอบอุ่นหัวใจซ่อนอยู่เสมอ และบางที… การได้รับข้าวผัดกระเพราจากคนแปลกหน้าในวันที่เหนื่อยล้าที่สุด ก็เป็นเรื่องตลกปนซึ้งใจที่ทำให้เรามีกำลังใจก้าวต่อไปได้เหมือนกันนะครับ
โฆษณา