24 พ.ค. เวลา 10:09 • สิ่งแวดล้อม

‘ภาคพลังงาน’ ปล่อย ‘มีเทน’ เพิ่มต่อเนื่อง แทบไม่มีใครลดอย่างจริงจัง

“ก๊าซมีเทน” เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้นประมาณ 30% นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ระดับของมีเทนในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นเร็วกว่าก๊าซเรือนกระจกประเภทอื่น โดยมีความเข้มข้นสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึงสองเท่าครึ่ง
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) พบว่ามีเทนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ดำเนินการน้อยเกินไป แม้จะช่วยลดต้นทุนก็ตาม เพราะการดักจับมีเทนจากการดำเนินการด้านน้ำมันและก๊าซจะสามารถขายควบคู่ไปกับก๊าซได้ก็ตาม
ตามข้อมูล Global Methane Tracker 2025 ของ IEA ระบุว่าในปี 2024 ภาคพลังงานมีส่วนทำให้เกิดก๊าซมีเทนประมาณ 145 ล้านตัน โดยการดำเนินการด้านน้ำมันปล่อยก๊าซมีเทนสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 45 ล้านตัน ส่วนก๊าซธรรมชาติปล่อยก๊าซมีเทนเกือบ 35 ล้านตัน ขณะที่บ่อน้ำมันที่ถูกทิ้งร้างปล่อยก๊าซมีเทนประมาณ 3 ล้านตัน และการรั่วไหลจากอุปกรณ์ปลายทางอีก 2 ล้านตัน
การวิเคราะห์ของ IEA พบว่า ถ่านหินยังปล่อยก๊าซมีเทนมากกว่า 40 ล้านตัน ซึ่งรวมถึงกว่า 4 ล้านตันจากเหมืองที่ถูกทิ้งร้างและประมาณ 1 ล้านตันจากอุปกรณ์ปลายทาง
พลังงานชีวมวลก็เป็นแหล่งที่ปล่อยก๊าซมีเทนด้วยเช่นกัน โดยมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงชีวมวลที่ไม่สมบูรณ์ประมาณ 18 ล้านตัน ส่วนใหญ่มาจากการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลแบบดั้งเดิม ซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงชีวมวล เช่น ถ่านไม้ ไม้ ขยะจากการเกษตร และมูลสัตว์ที่ใช้สำหรับทำอาหารและให้ความร้อนในประเทศกำลังพัฒนา
1
อีก 2 ล้านตันมาจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลสมัยใหม่ เทคโนโลยีชีวมวลสมัยใหม่ได้แก่ เชื้อเพลิงชีวภาพเหลวที่ผลิตจากชานอ้อยและพืชอื่น ๆ โรงกลั่นชีวภาพ ก๊าซชีวภาพที่ผลิตขึ้นจากการย่อยสลายสารตกค้างแบบไม่ใช้ออกซิเจน และอื่น ๆ
1
รายงานดังกล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาการปล่อยมลพิษจากโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง IEA ประมาณการว่ามีบ่อน้ำมันและก๊าซบนบกที่ถูกทิ้งร้างอยู่ทั่วโลกประมาณ 8 ล้านบ่อ รวมถึงเหมืองถ่านหินที่ถูกทิ้งร้างอีกจำนวนมาก ทั้งสองแหล่งนี้ถือเป็นแหล่งปล่อยก๊าซมีเทนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
หากดูเป็นรายประเทศ พบว่า จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซมีเทนจากการดำเนินการเชื้อเพลิงฟอสซิลมากที่สุด รองลงมาคือสหรัฐ ตามมาด้วยรัสเซีย อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน อินเดีย เวเนซุเอลา และอินโดนีเซีย
IEA ระบุว่า ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ประมาณ 70% โดยเฉพาะภาคส่วนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ประมาณ 75% ด้วยการใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงอุปกรณ์ที่รั่วไหลและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง หรือการอุดหลุมที่รั่วไหล
ทั้งนี้ IEA แนะนำว่าควรมีมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ปิดผนึกบ่อน้ำมันและเหมืองถ่านหินที่เลิกใช้แล้ว รวมถึงการเปลี่ยนก๊าซมีเทนให้เป็นพลังงาน หรือใช้เทคโนโลยีออกซิเดชัน อาจช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับอุตสาหกรรมถ่านหินก็สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนลดลงได้ถึง 50% ด้วยการใช้ก๊าซมีเทนอย่างมีประสิทธิภาพในเหมือง หรือปรับใช้เทคโนโลยีการเผาหรือออกซิเดชันเมื่อการกู้คืนพลังงานไม่สามารถทำได้ ส่วนการปล่อยก๊าซจากพลังงานชีวมวลอันเนื่องมาจากการเผาไหม้พลังงานชีวมวลที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งส่วนมากมักเป็นการใช้ฟืนทำอาหาร ควรเปลี่ยนเป็นการปรุงอาหารที่สะอาดและความร้อนสมัยใหม่
ฟาติห์ บิโรล กรรมการบริหารของ IEA กล่าวว่า “การแก้ไขปัญหาก๊าซมีเทนนั้นให้ประโยชน์สองต่อ คือ ช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อตลาดก๊าซที่มีข้อจำกัดในหลายส่วนของโลก เพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปพร้อมกัน”
1
หากไม่มีการใช้โซลูชันในการบรรเทาผลกระทบจากมีเทน อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 0.1 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050
ถึงในปัจจุบันจะมี ปฏิญญาสากลเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน (Global Methane Pledge) หรือ GMP มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนทั่วโลกอย่างน้อย 30% จากระดับปี 2020 ภายในปี 2030 แต่กลับมีเพียงไม่กี่ประเทศหรือบริษัทเท่านั้น ที่พัฒนาแผนการดำเนินการจริงสำหรับคำมั่นสัญญาเหล่านี้ และยิ่งน้อยลงไปอีก สำหรับบริษัทที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถยืนยันได้
ขณะที่ อุตสาหกรรมถ่านหินส่วนใหญ่ไม่ได้ให้คำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทน ส่วนประเทศที่มีการปล่อยก๊าซสูงอื่น ๆ ยังไม่ได้ประกาศคำมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทน ขณะที่อัลจีเรีย จีน อินเดีย อิหร่าน รัสเซีย ซีเรีย ไทย และเวเนซุเอลา ซึ่งคิดเป็นเกือบ 45% ของการปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคพลังงานไม่ได้เข้าร่วม GMP
ในปี 2024 มี NDC (Nationally Determined Contributions) หรือ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ซึ่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่แต่ละประเทศตั้งขึ้นเพียง 30 แห่งเท่านั้นที่กล่าวถึงมาตรการเฉพาะสำหรับการลดการปล่อยก๊าซมีเทนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน แต่มีเพียง 9 แห่งเท่านั้นที่กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณสำหรับการลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้
คาดว่า NDC สำหรับปี 2035 จะถูกปล่อยมาในปี 2025 ประเทศต่าง ๆ อาจกำหนดเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซมีเทนไว้ด้วย จนถึงขณะนี้ NDC ชุดใหม่ขอวบราซิล แคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหราชอาณาจักรได้รวมมาตรการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคพลังงานไว้ด้วย
“การดำเนินการเกี่ยวกับก๊าซมีเทนยังคงไม่เป็นไปตามเป้าหมาย IEA กำลังดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลและอุตสาหกรรมมีเครื่องมือและความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้” บิโรลกล่าว
หลายประเทศมักประเมินการปล่อยก๊าซมีเทนต่ำเกินไป โดยค่าการประมาณการ การปล่อยก๊าซมีเทนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทั่วโลกของ IEA สูงกว่าที่ประเทศต่าง ๆ รายงานต่อกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ประมาณ 80% โดยยุโรปเป็นทวีปที่รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซมีเทนใกล้เคียงกับการประมาณของ IEA มากที่สุด
หากต้องการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากภาคส่วนน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงถ่านหินลง 75% จำเป็นต้องมีเงินทุน 175,000 ล้านดอลลาร์และ 85,000 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ
IEA แนะนำว่าบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลควรเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน เนื่องจากการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อปีสำหรับมาตรการเหล่านี้จะคิดเป็นไม่ถึง 2% ของรายได้สุทธิที่อุตสาหกรรมนี้สร้างขึ้นต่อปี
ช่องว่างทางการเงินสำหรับการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการดำเนินงาน และ 20,000 ล้านดอลลาร์สำหรับจัดการโรงงานที่ถูกทิ้งร้าง
โฆษณา