17 พ.ค. เวลา 07:28 • ความคิดเห็น

เพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิต

ผมคบเพื่อนคนนี้มาน่าจะเกือบยี่สิบปี แต่มาสนิทจริงจังในระดับจดบันทึกก็น่าจะสิบห้าปีได้ เจอมันครั้งแรกหลังจากมีเหตุร้ายที่ทำตัวเองตอนอายุสามสิบปลาย ไม่ดูแลตัวเอง อ้วนไปถึงร้อยโล ร่างกายแย่จนป่วยหนัก
1
เข้าโรงพยาบาลไปรักษาแล้วออกมาเป็น panic disorder อยู่ เรียกได้ว่าป่วยทั้งกายและป่วยทั้งใจ
ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกนอกจากต้องดูแลตัวเอง ก็เลยพยายามลดน้ำหนัก แล้วก็เจอเพื่อนคนนี้ครั้งแรกตั้งแต่ตอนนั้น…
เราเจอกันแทบทุกเช้า เท่าที่จำความและบันทึกไว้ ผมเจอมันประมาณ 4 ครั้งครึ่งต่อสัปดาห์ เจอกันทีก็มีสี่สิบนาที บางทีก็ชั่วโมงนึง ถามว่าอยากเจอมั้ย หลายวันก็ไม่อยากเจอ ขี้เกียจตื่น แต่เจอแล้วก็รู้สึกดีทุกที
พอเครียดๆ นึกอะไรไม่ออกก็จะนึกถึง บางทีก็ได้ไอเดียใหม่ระหว่างที่ต้องทนอยู่กับมัน หลังเจอก็จะสดชื่นแจ่มใสเสมอ
มันเป็นเพื่อนที่ผมเจอเยอะที่สุดและน่าจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดในชีวิตที่ช่วยดูแลสุขภาพผมมาตลอดสิบห้าปี ทำให้ผมแทบไม่ค่อยป่วย อารมณ์ดี ช่วยเยียวยาจิตใจผมตั้งแต่เจอใหม่ๆ เจอมันแล้ว panic disorder ที่เคยเป็นก็หายไปเลย ไม่กลับมาอีก
1
ไปต่างจังหวัดก็ไปด้วยกันตลอด ต่างประเทศยิ่งขาดกันไม่ได้ ไปประเทศไหนก็ตัวติดกันเหมือนปาท่องโก๋ทุกเช้า
วันนี้เป็นวันครบรอบ 17,000 กิโลที่ผมอยู่กับเพื่อนคนนี้ เลยอยากจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนผมคนนี้มากๆเลยครับ ไม่ใช่ AI ที่ฮิตๆที่หลายคนคุยอยู่ แต่เป็นเพื่อนผมที่ชื่อว่า “วิ่ง”…
1
ผมบันทึกการวิ่งของผมตั้งแต่ปี 2011 แต่จริงๆ แล้วผมเริ่มหัดวิ่งก่อนหน้านั้นอยู่สามปี หลังจากป่วยเข้าโรงพยาบาลและเป็น panic disorder อย่างหนักจนไม่รู้จะทำยังไง ลองมันทุกอย่างและได้ลองวิ่งดู วิ่งวันแรกด้วยความอ้วนมากๆในตอนนั้นก็วิ่งได้แค่ 300 เมตรก็เหนื่อยหอบ แต่ก็ลองวิ่งต่ออีกหลายวันเพราะรู้สึกว่า panic disorder ดีขึ้น
วิ่งไปวิ่งมาก็วิ่งได้นานขึ้น อาการป่วยก็หายไป นับจากนั้นก็วิ่งมาตลอด อาจจะเพราะกลัวกลับไปป่วยด้วยส่วนหนึ่ง และเพราะวิ่งแล้วรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้นด้วยก็อีกส่วนหนึ่ง
ผมใช้ Nike App ในการบันทึกตั้งแต่ปี 2011 วันนี้เป็นวันที่ผมวิ่งครบ 17,000 กิโลเมตร เป็นเลขสวยที่อยากจะบันทึกไว้ ในระหว่าง 15 ปีที่บันทึก ผมวิ่งอาทิตย์ละ 4.5 ครั้งโดยเฉลี่ย ครั้งละ 5.2 กิโลเมตรเฉลี่ย และถ้านับเป็นแคลอรี่ที่เผาผลาญ ผมเผาไป 1.5 ล้านแคลอรี่
2
นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่เผาผลาญไปนี่ ผมน่าจะอ้วนมาก และน่าจะโรคร้ายรุมเร้าหนักแน่ๆ ในวัย 56 ปี
1
มากไปกว่าแค่วิ่งเพื่อสุขภาพ ในชีวิตที่ีไม่ได้มีวินัยอะไรกับเขามากนัก การวิ่งเป็นเสมือนวินัยเดียวในชีวิตของผมที่ทำต่อเนื่องมาได้ยาวนาน เป็นความภูมิใจของตัวเองที่รู้ได้ในตัวเอง ไม่ได้มีใครมายกย่องให้ตำแหน่งหรือเหรียญตรา การมีวินัยอะไรบางอย่างนั้น นำมาสู่ความเชื่อมั่นในตัวเองได้ไม่น้อย
ผมไม่เคยวิ่งได้เร็วหรือวิ่งมาราธอนอะไรกับเขา การวิ่งอย่างสม่ำเสมอจึงทำให้รู้สึกว่าเราก็ไม่ได้แย่กว่าคนอื่นได้อีกมุมหนึ่ง
1
และเพราะความรู้สึกว่า “วินัย” ของการวิ่งเป็น identity ของตัวเองเหมือนที่หนังสือ Atomic habit เคยสอนไว้ มันก็เลยกำหนดตัวตนของผมให้ตื่นเช้ามา ไม่ว่าจะขี้เกียจแค่ไหน ไม่อยากวิ่งแค่ไหน ง่วงแค่ไหน ก็ได้แค่บ่นโน่นนี่แล้วใส่รองเท้าออกวิ่ง เพราะมันกลายเป็นตัวตนของผมที่รู้ดีว่าตัวเองวิ่งไม่เก่งแต่เด่นด้านสม่ำเสมอ
2
ผมเองโชคดีอยู่ไม่น้อยที่อยู่ในหมู่บ้าน แค่ใส่รองเท้าเดินออกมาหน้าบ้านก็วิ่งไปเรื่อยๆ ได้แล้ว มี friction น้อยมากกับกิจกรรมนี้
ผมไม่เคยชอบความรู้สึกระหว่างวิ่งเลย ความเหนื่อยและล้า อยากหยุดวิ่งตั้งแต่กิโลแรกๆ เสมอ แต่พอคิดว่าเดี๋ยวสถิติที่เก็บมาสิบห้าปีจะเสียก็จะเสียดาย เอาอีกนิดให้ครบห้ากิโลละกัน ก็มีความรู้สึกแบบนี้บ่อย การบันทึกและอวดชาวบ้านในโซเชียลมีเดียก็ทำให้มีแรงฮึดในการวิ่งได้นานขึ้น
2
แต่ความรู้สึกหลังวิ่งนี่ดีมากเลยนะครับ มันสดชื่น อารมณ์แจ่มใสและพร้อมที่จะทำอะไรต่อในวันนั้นได้เต็มพลัง และที่สำคัญคือพอวิ่งสะสมยาวๆ สุขภาพร่างกายก็ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ตัวเลขค่าเลือดต่างๆ ก็ดีมากเมื่อเทียบกับเพื่อนฝูงในวัยเดียวกันที่ใช้ชีวิตหนักๆ และเริ่มร่วงโรยตามกาลเวลา
ความห่วงที่จะพยายามวิ่งตอนเช้าให้ได้อย่างมีวินัยก็ทำให้พฤติกรรมหลายอย่างก็ต้องปรับตามไปด้วยจนเป็นนิสัย เช่นผมก็จะหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้โทรม วิ่งแล้วเหนื่อยง่าย จะพยายามนอนเป็นเวลา ไม่ดึกเกินไปเพราะจะตื่นไม่ไหว เวลาไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ เช้าก็จะตื่นมาวิ่ง ก็จะได้เห็นเมือง เห็นผู้คนยามเช้าที่ปกติธรรมดาเราก็จะไม่ได้ไปเห็นชีวิตอะไรแบบนั้น
เอาจริงๆแล้วกิจกรรมที่สนุกที่สุดของผมเวลาไปต่างประเทศก็คือการตื่นเช้าแล้วได้วิ่งรอบเมืองไปเรื่อยๆ คนเดียว ถ้าไม่มีกิจกรรมวิ่ง ชีวิตก็คงน่าเบื่อกว่านี้มาก
พอเก็บสถิติการวิ่งก็พอคำนวณและตั้งเป้าได้ว่า ผมอยากจะวิ่งให้ครบ 30,000 กิโลเมตรก่อนแขวนรองเท้า ซึ่งคำนวณแล้วก็น่าจะอายุประมาณ 70 ปี ซึ่งถ้าวิ่งไปถึงตรงนั้นได้ ชีวิตก็น่าจะดีมากเพราะยังคงน่าจะสุขภาพดี เดินเหินได้คล่องแคล่ว
ส่วนจะไปต่อให้เป็นสี่หมื่นกิโลหรือไม่ก็ไว้ไปถามผมตอนอายุ 70 อีกทีน่าจะดีกว่า
เพื่อนผมที่ชื่อ “วิ่ง” คนนี้เขาก็ชอบมีเพื่อนเยอะๆนะครับ ก็เลยอยากจะมาแนะนำเพื่อนคนนี้ให้ใครที่อยากมีกัลยาณมิตรที่ดี ช่วยดูแลเราทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นเพื่อนคู่คิดเวลาเครียดหรือคิดอะไรไม่ออก ช่วยให้เราแข็งแรงไปด้วยกัน
แน่นอนว่าอาจจะมีคำถามว่าทำยังไงถึงคบเพื่อนคนนี้มาได้เกือบยี่สิบปี เจอกันเกือบทุกวัน แล้วไม่ว่อกแว่กไปเจอเพื่อนสายเมา สายกินหนักมั่งเลยเหรอ
ผมก็นึกได้แค่คำตอบเดียวว่า สิ่งที่ทำให้ผมคบกับเพื่อนคนนี้ได้ยาวนานขนาดนี้นั้น
ก็คือการใช้คาถาสำคัญที่ว่า… One day at a time นั่นเองครับ
โฆษณา