18 พ.ค. เวลา 12:29 • การศึกษา

ปัดฝุ่นพระพุทธรูปบ้าง

เคยลองสำรวจศรัทธาของคุณว่าเป็นอย่างไรบ้างไหม? คุณเคารพกราบไหว้สิ่งต่างๆแบบทำตามเขาไป เพราะเชื่อตามๆกันว่าดีก็เลยทำ แต่ไม่ได้รู้จริงๆว่าถูกหรือผิด หรือทำไปทำไมอยู่หรือเปล่า? ตัวอย่างของการศรัทธา เช่น การกราบไหว้พระพุทธรูป ในทัศนะของบางคน อาจสงสัยว่าเราจะกราบอิฐ หิน ปูน ทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ ไปทำไม? มุมมองนี้อาจมาจาก การไม่ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากพอ และหรือไม่เคยศรัทธาจากใจจริง จึงไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ถ้าอย่างงั้นอยากให้ลองมาหาคำตอบกันดูว่า นั่นซิ จะไหว้ไปทำไม?
ถ้าจะให้ตอบ อย่างแรกเลย คงต้องเท้าความไปถึงในสมัยพุทธกาล ตลอดพระชนม์ชีพ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยให้สร้างรูปเคารพของท่านเลย แต่ที่มีการสร้างรูปเคารพนั้น เกิดขึ้นมา หลังจากท่านปรินิพพานไปแล้วประมาณ 500 ปี ซึ่งเป็นเวลานานมากพอ ที่จะไม่มีใครสามารถบอกเล่า รูปลักษณ์ของพระองค์ตามความจริงได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธรูป หรือรูปวาดต่างๆที่เราเห็นกันทั่วไป ล้วนเกิดจากจินตนาการของศิลปินเจ้าของผลงานนั้นๆ
สาเหตุที่สร้างรูปเคารพ ก็เนื่องด้วยผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้า มีความคิดถึงพระพุทธเจ้า อยากจะระลึกถึงท่านและพระคุณของท่าน ด้วยของวิสัยปุถุชน จึงอยากมีบางสิ่งบางอย่างที่จับต้องได้ ไว้เป็นเครื่องระลึกถึง ดั่งเช่นการมีรูปเหมือน หรือเถ้าอัฐิ กระดูกบรรพบุรุษไว้เพื่อเคารพกราบไหว้บูชา ระลึกถึงคุณท่านของลูกหลาน ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูอย่างหนึ่ง
รูปวาดและพระพุทธรูป จึงถือกำเนิดขึ้นมา ไว้ให้เราได้กราบไหว้กัน สำหรับคนที่ศรัทธาแล้ว เขาไม่ได้กราบรูปภาพ หรือทองเหลืองทองแดง แต่ที่เขากราบ เป็นตัวแทนของผู้ที่เคารพรักอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนกราบแทบเท้าพระพุทธเจ้าจริงๆ ด้วยใจที่มีศรัทธาเปี่ยมล้น
ถ้าหากจะเปรียบเทียบศรัทธา เหมือนพระพุทธรูปที่ถูกตั้งไว้สูงสุดบนหิ้งบูชา แต่ด้วยความกลัวที่จะลบหลู่ จึงไม่เคยหยิบมาปัดฝุ่นทำความสะอาดเลย พระพุทธรูปนั้นคงสกปรกไม่น่าดู มีฝุ่นหนาและหยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด เช่นนั้นคงเปรียบได้กับศรัทธาที่หลับหูหลับตาเชื่อ โดยไม่เคยคิดพิจารณาว่า สิ่งที่เชื่อนั้นถูกต้อง ดีงาม มีเหตุมีผลหรือไม่ เป็นความจริงหรือเปล่า พิสูจน์ได้ไหม?
คำกล่าวที่ได้ยินจนคุ้นหูว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” นั้น ในทางพุทธถือเป็น “มิจฉาทิฐิ” เพราะเป็นคำกล่าวที่แสดงถึงความเชื่อ ในแนวทางของไสยศาสตร์ไม่ใช่พุทธ ความเชื่อแบบนี้พระพุทธเจ้าให้ละวาง เพราะไม่ใช่ทางดับทุกข์ และมีโทษมากยิ่งกว่าอนันตริยกรรมเสียอีก ดังนั้นผู้ที่เผยแพร่ ส่งเสริมสนับสนุน มิจฉาทิฐิจึงมีวิบากมาก ทำกรรมหนักที่ขวางนิพพานเอามากๆ
จริงอยู่มิจฉาทิฏฐิบางอย่างช่วยให้เข้าถึง ความเป็นเทวดาและพรหมได้ แต่ไม่อาจทำให้พ้นทุกข์ไปได้ เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญา แถมยังทำให้หลงติดวนอยู่ในวัฏสงสารอย่างยาวนานอีกด้วย ส่วนความเชื่อที่เป็นสัมมาทิฏฐิแบบพุทธนั้น ต้องตั้งอยู่บนเหตุและผล ทำเหตุอย่างไรได้ผลอย่างนั้น เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งกล่าวถึงเหตุปัจจัยและผลของการกระทำ และเน้นพึ่งตัวเอง อัตตาหิ อัตโนนาโถ มิใช่พึ่งพลังงานลึกลับจากสิ่งภายนอก
นอกจากนี้การนับถือศรัทธาสิ่งใดโดยขาดสติ และตั้งอยู่บนความกลัวหรือความหลงนั้น ยังมีโทษน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำให้คนเราทำได้ทุกอย่าง คนคนหนึ่งสามารถทำร้ายตัวเองและผู้อื่นอย่างร้ายแรงถึงแก่ชีวิต เพื่อสิ่งที่เขาศรัทธาได้ โดยเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้น จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์ แต่ตามความเป็นจริงแล้วต้องตกนรก พระพุทธศาสนาเน้นให้มีสติ มีศรัทธาที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความกลัว หรือความหลง แต่เป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า แม้แต่ท่านก็ไม่ให้เชื่อ หากไม่ได้พิสูจน์จนเห็นจริงตามที่ท่านสอน ท่านให้ยกหลัก “กาลามสูตร” มาเป็นเครื่องพิจารณาว่า ควรเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งใด ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อเพราะเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดูน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่ได้พิสูจน์ ให้ตั้งจิตอยู่บนทางสายกลาง คือยังไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธผลักไส ไม่สุดโต่งไปทางใดข้างหนึ่ง เพราะไม่ว่ายอมรับหรือไม่ นั่นคือความโง่เขลาเบาปัญญา ท่านแนะนำให้คุณพิสูจน์จนแน่ใจว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นจริงจึงค่อยเชื่อ
อย่านับถือ เคารพ เชื่อ ศรัทธาอะไรโดยขาดสติ แม้ดีอยู่แล้วยังต้องสำรวจบ่อยๆ เปรียบเสมือนการปัดฝุ่นทำความสะอาด พระพุทธรูปที่เราเคารพ ได้มีโอกาสสำรวจความเชื่อความศรัทธาของเราว่า เป็นไปอย่างมีสติ ประกอบไปด้วยปัญญาหรือไม่ เพราะหากมีกิเลสแทรกโดยไม่รู้ตัว จะยังผลทำให้ความเชื่อ หรือศรัทธานั้นบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไปได้ ยิ่งศรัทธามาก ก็อาจจะเกิดความหลงยึดติดได้มาก ให้ใช้ “สติ” ตรวจดูศรัทธาของเราบ่อยๆ นับถืออะไรดีๆ ต้องหมั่นเช็คหมั่นดูว่ายังเป็น “สัมมาทิฏฐิ” อยู่หรือเปล่า?
เพราะมันอาจกลายเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่ที่ยึดดี ติดดี หลงดี บ้าดีจะกลายเป็นไม่ดีทันที กิเลสละเอียดอย่าง “ติดดี” นั้น เห็นได้ยาก เมื่อเห็นแล้วยังหลงว่ามันดี ไม่อยากละ ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ละความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ไม่ยึดติดทั้งดีและชั่ว เพราะแม้แต่ยึดดีก็มีข้อเสีย ถ้าไม่เห็นข้อเสียของการ “ติดดี” ก็จะไม่มีวันละวางได้เลย
ศาสนาพุทธเน้นการปล่อยวาง ปล่อยทั้งหมดจนแม้กระทั่งตัวตนก็ให้ละ ฉะนั้นจึงสอนให้ไม่ยึดถือกับวัตถุสิ่งของ รูปเคารพกราบไหว้ หรือแม้กระทั่งไม่ยึดถือในตัวครูบาอาจารย์หรือพระพุทธเจ้า แต่พึงสังวรด้วยว่าธรรมระดับนี้เป็นธรรมขั้นสูง ผู้ที่ไม่มีปัญญายังเข้าถึงธรรมเช่นนี้ไม่ได้ จงอย่าได้หลงเข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมาทีเดียว เพราะมีโทษหนักมาก
นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันว่า ควรจะทำรูปเคารพกรกราบไหว้พระพุทธเจ้าหรือไม่ ผู้ที่มีปัญญาเข้าถึงความจริงแล้ว ไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ก็จริง เพราะท่านเหล่านั้นมีจิตเป็นพุทธะ เข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริง และใกล้ชิดพระพุทธเจ้าซะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่อินทรีย์ยังอ่อน สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเครื่องช่วยเตือนสติ เตือนจิตเตือนใจ ถ้าเขาเข้าใจถูกเป็นสัมมาทิฏฐิว่า พระพุทธรูปหรือรูปเคารพทั้งหลาย รวมถึงตัวแทน ที่ทำให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเช่น พระสารีริกธาตุ ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ สังเวชนียสถาน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีแก่นอย่างเดียวกันคือ
เป็นตัวแทนให้เข้าถึง การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดพุทธานุสติ จิตเกิดกุศล อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกอบาย อย่างมากสามารถเข้าถึงสมบัติสวรรค์ และเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่ได้ผิดอะไร ที่จะมีสิ่งเหล่านี้และเคารพกราบไหว้ ตราบใดที่อยู่บนพื้นฐานของสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่เคารพกราบไหว้ เพื่อดลบันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ แบบเทวนิยมที่ทำผิดกันอยู่โดยมาก
ธรรมะขั้นสูงอย่างเช่น “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”, “ว่างเปล่าปราศจากตัวตน”, “ตัวเราไม่มี” ไม่ใช่สิ่งที่ปุถุชนคนทั่วไปจะเข้าถึง การแปลหรือตีความใดๆล้วนแล้วแต่ผิด นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่การรู้ธรรมมากเกินไป แต่เข้าไม่ถึงความจริงนั้นทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ และสิ่งนี้มีโทษมากควรระวังอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้ตกนรกยาวนานเป็นกัป เป็นกัลป์ เป็นอสงไขยได้เลย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ความจริง และพุทธศาสนาเป็นศาสนาของการบอกเล่าความจริง จริงในแบบที่ว่า The Truth, The whole truth, Nothing But the truth ไม่ใช่ปรัชญาหรือความเชื่อ โดยเฉพาะ “ความเชื่อ” นั้นอาจเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้ แต่ “ธรรมะ” คือ ความจริงที่ไม่ว่าจะผ่านการพิสูจน์กี่ครั้ง ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ทำการพิสูจน์ ก็ยังออกมาจริง และไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังจริงอยู่เสมอ ไร้กาลเวลา
เป็นที่มาของการเจริญปัญญาแบบพุทธ ที่เน้นการปฏิบัติให้เข้าถึงความจริง ศรัทธาในพุทธศาสนาจึงต้องประกอบด้วยปัญญา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการท้าพิสูจน์ พิสูจน์ให้เห็นจริงดั่งว่าจึงค่อย “สาธุ” ไม่ใช่ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แต่เป็น “ไม่เชื่อต้องลองดู” เช่นนั้นลองมา Q.E.D. ด้วยกันไหมคะ?
ขอบคุณภาพจาก
#ไม่เชื่อต้องลองดู #ศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญา #พุทธานุสติ #การเข้าถึงพระรัตนตรัย #สัมมาทิฏฐิ #มิจฉาทิฏฐิ
โฆษณา