18 พ.ค. เวลา 05:41 • ไลฟ์สไตล์

ชีวิตเราเป็นดั่งคนโบราณพูด จริงหรือ?

“คนโบราณว่าไว้...”
เสียงสะท้อนจากอดีตที่ยังดังก้องอยู่ในปัจจุบัน
สวัสดีครับ หากคุณมองชีวิตเป็นดั่งภาพยนตร์ยาวเรื่องหนึ่ง คำพูดของคนโบราณก็เปรียบเสมือนบทบรรยายจากผู้กำกับที่แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งร่องรอยของความเข้าใจต่อชีวิตไว้อย่างแม่นยำ และน่าประหลาดที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย แม้ไม่อยากยอมรับ ก็ยังใช้ชีวิตวนอยู่ภายใต้เงาของคำพูดเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
คำถามคือ...เพราะโลกไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ หรือ เพราะมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนเลยกันแน่?
คนเปลี่ยน แต่ใจมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน
เทคโนโลยีสื่อสารพาเราไปถึงดาวอังคาร แต่ยังไม่มีเครื่องมือใดพาเราให้เข้าใจหัวใจคนข้างๆ ได้มากขึ้น คนโบราณพูดถึง “กิเลส” ว่าเป็นรากของปัญหา วันนี้เราก็ยังเห็นมันครองใจผู้คนเช่นเดิม
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เปลี่ยนเพียงรูปแบบ แต่ไม่เคยหายไปจากวิถีมนุษย์เลยครับ
คำสอนเรื่อง “ความพอเพียง” “การรู้จักประมาณตน” หรือแม้แต่ “การไม่เบียดเบียน” เป็นเหมือนเสียงเบาๆ ที่คนสมัยก่อนกระซิบบอกผ่านสุภาษิตและนิทานพื้นบ้าน ไม่ใช่เพียงเพื่อความดีงาม แต่เพื่อการอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนครับ
ในยุคที่เรามีปัญญาประดิษฐ์ มีตลาดหุ้น และมีโซเชียลมีเดีย โลกดูซับซ้อนมากขึ้น แต่แก่นของปัญหาทั้งหลายในชีวิตกลับยังคงเหมือนเดิมอย่างน่าทึ่ง นี่อาจเป็นคำตอบหนึ่งว่า ทำไม “คำโบราณ” จึงยังไม่ตายครับ
วัฏจักรชีวิต...วงกลมที่หมุนกลับมาที่เดิม
คำว่า “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” เป็นความจริงพื้นฐานที่คนโบราณพูดกันจนกลายเป็นวลีติดปาก บางคนฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่เมื่อมีคนใกล้ชิดจากไป หรือเมื่อความฝันที่ทุ่มเทพังลงตรงหน้า ทุกคนย่อมเข้าใจคำนี้ลึกซึ้งยิ่งกว่าหนังสือปรัชญาเล่มใดซะอีก
คนโบราณไม่ได้พูดถึงความตายเพื่อให้กลัว แต่เพื่อให้เรามองชีวิตด้วยสายตาที่มีสติ
เพื่อให้รู้ว่า สิ่งที่เรากำลังแย่งชิงกันอยู่นั้น
อำนาจ เงินทอง ความรัก
ไม่มีสิ่งใดเป็นของเราอย่างแท้จริง
นี่คือแก่นของความเข้าใจชีวิตแบบโบราณครับ ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าคำว่า “อนิจจัง” ซึ่งไม่ได้หมายถึงความเศร้า แต่คือความเบาสบายของใจที่รู้เท่าทันโลกต่างหากครับ
คำเตือนจากคนที่เคยล้มมาก่อนเรา
สุภาษิตไทยจำนวนมากเกิดจากการเรียนรู้ผ่านความเจ็บปวด เช่น
“เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย”
“อาบน้ำร้อนมาก่อน”
“อย่ารำพึงถึงคนลวง อย่าห่วงคนจากไกล”
ประโยคเหล่านี้คือคำเตือนที่เหมือนรั้วกั้นไม่ให้เราตกเหวซ้ำซาก คนโบราณอาจไม่มีดีกรีทางการศึกษา แต่มี “ปริญญาชีวิต” จากประสบการณ์และการสังเกตที่แหลมคม จนกลายเป็นบทเรียนเงียบๆ สำหรับคนรุ่นหลัง
เรากำลังใช้ชีวิตในโลกที่ความเร็วกลืนกินสติ การได้ย้อนกลับไปฟังคำคนโบราณพูด จึงเปรียบเหมือนการหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวิ่งต่อไปให้ทันโลกนั่นเองครับ
เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้ากับการแข่งขัน หลายคนหันกลับไปหา “ความเรียบง่าย” ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ ฟังธรรมะ หรือแม้แต่ปลูกต้นไม้ คำว่า “อยู่กับปัจจุบัน” ที่กำลังฮิตในยุคสมัยนี้ ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คนโบราณเคยสอนว่า “ทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เรากำลังเดินทางกลับไปหาความสงบ ไม่ใช่เพราะมันเป็นเทรนด์ แต่เพราะในแก่นแท้ของมนุษย์ เราต้องการการยอมรับ ความรัก ความเข้าใจ และ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยตั้งแต่โลกยังไม่มีไฟฟ้า
คำพูดโบราณไม่ใช่สิ่งล้าสมัย ไม่ใช่แค่ความเชื่อ หรือคำปลอบใจ แต่คือ “แผนที่ชีวิต” ที่ถูกวาดด้วยมือของคนที่เคยหลงทางมาก่อนเรา
หากเราเดินเร็วเกินไปจนลืมมองพื้น ก็อาจสะดุดสิ่งเดิมที่คนโบราณเคยเตือน
หากเราทะนงตนว่าโลกวันนี้ต่างจากวันวาน เราอาจพลาดบทเรียนที่ซ่อนอยู่ในคำพูดง่ายๆ
ชีวิตเราเป็นดั่งคนโบราณพูดไว้หรือเปล่าครับ?
บางที...เราอาจเป็นเพียงบทใหม่ในหนังสือเล่มเดิม ที่บรรพบุรุษของเราเคยเขียนไว้แล้ว ด้วยหมึกแห่งประสบการณ์ก็ได้ครับ...
cr. นักเขียนภูธร
โฆษณา