19 พ.ค. เวลา 05:33 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

AI Agents ทาสรับใช้หรือผู้ทำลายความเป็นมนุษย์? กับบทเรียนสำคัญที่ทุกคนต้องรู้

พอดีส่วนตัวได้มีโอกาสรับฟังพอดแคสต์รายการดังในช่อง The Diary Of A CEO ที่มีการเชิญแขกรับเชิญที่น่าสนใจมาพูดคุยกันในหัวข้อ “AI AGENTS EMERGENCY DEBATE: These Jobs Won’t Exist In 24 Months! We Must Prepare For What’s Coming!”
ผมว่าหลายคนอาจจะเริ่มคิดว่า AI จะเปลี่ยนชีวิตเราไปได้ถึงขนาดไหน? นี่ผ่านมาแค่สองปีมันพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้ แล้วถ้าพูดถึงรุ่นลูก ๆ เราล่ะ มันจะกระทบกับพวกเขาอย่างไรบ้าง?
เราได้เห็นข่าวมากมายที่เหล่านักเทคโนโลยีมองว่า AI จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างความมั่งคั่ง แต่ในอีกด้านก็มีคนเตือนว่าการปฏิวัติด้วย AI อาจนำไปสู่หายนะ โดยเฉพาะเรื่องการว่างงานจำนวนมหาศาลเช่นเดียวกัน
Steven Bartlett (เจ้าของช่อง The Diary Of A CEO) เขาประทับใจกับเทคโนโลยี “Replit” เป็นอย่างมาก ซอฟต์แวร์นี้ช่วยให้คนสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยแทบไม่ต้องเขียนโค้ด
ภายในเวลาแค่ 20 นาที Bartlett ผู้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเขียนโค้ดสามารถสร้างเว็บไซต์ ติดตั้งระบบรับชำระเงิน ผสาน AI เข้ากับเว็บไซต์ และเพิ่มระบบล็อกอินผ่าน Google ได้แบบง่าย ๆ
เขาส่งให้เพื่อนทดลองใช้ และมีคนจริงๆ ใช้บัตรเครดิตจ่ายเงินผ่านระบบ เขามองว่านี่คือการสร้างบริษัท SaaS โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว
นอกจากนี้ เขายังทดลองใช้ AI agent ชื่อ Operator สั่งน้ำจากร้านค้า โดย AI จัดการทุกอย่างตั้งแต่ใส่ข้อมูลบัตรเครดิต เลือกน้ำ ให้ทิป จนถึงใส่รายละเอียดการจัดส่ง
Amjad Masad ผู้ก่อตั้ง Replit แขกรับเชิญที่ได้เข้ามาร่วมรายการในครั้งนี้ ได้เล่าที่มาของแนวคิดของ Replit ว่าเขาเริ่มเขียนโปรแกรมตั้งแต่วัยเด็ก และเข้าใจว่าอุปสรรคระหว่างไอเดียกับความมั่งคั่งก็คือสิ่งที่เรียกว่าโครงสร้างพื้นฐาน
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เครื่องมือ และทักษะที่จำเป็น เขาจึงต้องการปลุกปั้นโลกที่ทุกคนที่มีไอเดียสามารถแก้ปัญหาและสร้างความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก
Amjad อธิบายว่า AI agents แตกต่างจาก chat AI ทั่วไปตรงที่มันทำงานได้ต่อเนื่องจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายหรือเจอข้อผิดพลาด มันเหมือนเสกวัตถุจากอากาศได้
ที่น่าสนใจก็คือ ปัจจุบัน AI agents ทำงานต่อเนื่องได้ตั้งแต่ 30 วินาทีถึง 30 นาที และมีงานวิจัยระบุว่าทุก 7 เดือน ระยะเวลาการทำงานของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
นั่นหมายความว่าในไม่ช้า เราจะมี AI ที่ทำงานได้ต่อเนื่องเป็นวันๆ ทำให้มันกลายเป็นแรงงานเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริง
แต่ Bret Weinstein นักชีววิทยาด้านวิวัฒนาการ (แขกรับเชิญอีกราย) กลับมองว่านี่เป็นจุดพีคของความน่ากลัว เขามองว่า AI เป็นเครื่องจักรแรกที่ก้าวข้ามพ้นจากความซับซ้อนขั้นสูงไปสู่ความซับซ้อนที่แท้จริง
Bret เชื่อว่าศักยภาพในด้านดี ๆ ของเทคโนโลยีนี้มีมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่อันตรายก็มากกว่าถึง 10 เท่า
Bret อธิบายว่า AI agents ที่ทำงานโดยอิสระอาจเป็นเงื่อนไขสำหรับหายนะที่เกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดได้ คุณต้องแน่ใจว่าเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงและรู้วิธีควบคุมมัน
Daniel Priestley นักธุรกิจอีกท่านในวงสนทนานี้ เปรียบเทียบกับภาพถ่ายของนิวยอร์กในปี 1900 ที่มีแต่รถม้า แต่อีก 13 ปีต่อมา กลับกลายเป็นรถยนต์ทั้งหมด ม้าถูกแทนที่ภายในเวลาเพียงไม่นาน
หากถามม้าในปี 1900 พวกมันคงมั่นใจว่าจะอยู่คู่กับมนุษย์ตลอดไป โดยไม่รู้เลยว่าพวกมันกำลังจะถูกแทนที่อย่างสิ้นซาก เราเองก็อาจเป็นเหมือนม้าในยุค AI นี้
Daniel คิดว่าคนจำนวนมากไม่ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลของเทคโนโลยีนี้ วันนี้เราอาจสั่งน้ำด้วย AI และคิดว่าน่ารัก แต่พรุ่งนี้มันอาจทำงานได้หลายวันและไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
หากเครื่องจักรฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และสามารถดำเนินการไปทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ที่มนุษย์เราประกอบอาชีพกันส่วนใหญ่อยู่แล้ว มันจะทำอะไรไม่ได้บ้าง? มันจะฉลาดกว่าเราแน่นอน
Amjad มองในแง่ดี เขาอธิบายว่า AI ทำได้เพียงสิ่งที่มนุษย์ฝึกให้มัน มันไม่สามารถทำสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้วิธีทำได้ แม้มันจะรวมความรู้มหาศาลและทำงานเร็วกว่ามนุษย์มาก
แต่ Brett ไม่เห็นด้วย เขามองว่า AI จะพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่จะพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อ AI เริ่มปฏิสัมพันธ์กัน พวกมันจะมีความสามารถที่เราไม่คาดคิดและอาจไม่รู้ตัวแม้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว
เหมือนการเชื่อมต่อจิตใจมนุษย์ด้วยสายอีเธอร์เน็ต ทำให้ศักยภาพทางความคิดเกินกว่ามนุษย์ AI ก็จะเป็นเช่นนั้น เป็นดั่งสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่มีความสามารถที่เรายังไม่มีชื่อเรียก
Amjad ยืนยันว่าหากงานของคุณเป็นงานที่ทำซ้ำๆ งานนั้นจะหายไปภายในไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความมั่งคั่งก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน
งานที่เสี่ยงที่สุด ได้แก่ งานด้านประกันคุณภาพ งานป้อนข้อมูล ที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์คลิกและพิมพ์ตามลำดับที่กำหนด รวมถึงงานบัญชี และแพทย์อ่านฟิล์ม X-RAY
อย่างไรก็ตาม AI จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในวงการศึกษา การสอนแบบตัวต่อตัวเป็นวิธีเดียวที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มผลการเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ และ AI สามารถทำแบบนั้นได้
AI สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้แบบตัวต่อตัวที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วของเด็กแต่ละคน เป็นครูส่วนตัวที่ไม่มีวันเหนื่อย เป็นการปฏิวัติการศึกษาที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ
แล้วพ่อแม่ควรสอนลูกอย่างไรในโลกใหม่นี้? Brett แนะนำให้สร้างเด็กที่มีความคิดริเริ่มสูงและมีทักษะหลากหลาย โดยเฉพาะการปรับตัวและแก้ปัญหาในระบบที่ซับซ้อน
เขาเน้นย้ำว่าในยุคของระบบที่มีความซับซ้อนสูง เราไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ทั้งหมด เด็กต้องเข้าใจว่าระบบอาจทำสิ่งที่เราคาดไม่ถึง จึงต้องติดตามผลลัพธ์ที่ไม่ได้ตั้งใจอยู่เสมอ
Amjad สนับสนุนการสอนให้เด็กมีความสามารถในการสร้างสรรค์ สร้างไอเดียอย่างรวดเร็วและปรับปรุงไอเดียเหล่านั้น เขามักนั่งกับลูกๆ ใช้ ChatGPT ให้พวกเขาจินตนาการ
เช่น “ถ้ามีแมวบนดวงจันทร์ล่ะ ถ้าดวงจันทร์ทำจากชีส และถ้ามีหนูอยู่ข้างใน” การฝึกเช่นนี้ทำให้เด็กๆ มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
Daniel ต้องการสร้างลูกให้เป็นคนมีความคิดริเริ่มสูงและมีทักษะทั่วไป อาจเป็นการเขียนหนังสือ มีพอดแคสต์ และเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในเวลาเดียวกัน
แม้จะมีความกังวล Bret มองว่า AI อาจช่วยแก้ปัญหาที่สติปัญญามนุษย์อาจจัดการไม่ได้ เช่นเดียวกับที่คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณในอัตราที่มนุษย์ไม่อาจตามทัน
Daniel มองเห็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการสุขภาพและการศึกษา AI จะช่วยแก้ปัญหาสาธารณสุขและปฏิรูปการศึกษาทั่วโลก ทำให้คนทำงานหลากหลายที่มีความหมายพร้อมกันได้
เขาแนะนำผู้ประกอบการว่า ทีมเล็กๆ ตอนนี้มีพลังมากโข ทีมที่มีขนาด 5-10 คนที่หลงใหลในปัญหาที่มีความหมายสามารถสร้างผลกระทบใหญ่ สร้างรายได้ และแก้ปัญหาสำคัญของโลกได้
พวกเขาอาจทำได้มากกว่าในช่วงเวลา 3 ปีเมื่อเทียบกับอาชีพ 30 ปีแบบเดิม ๆ เป็นการปฏิวัติวิธีการทำงานที่จะเปลี่ยนโลกไปอย่างสิ้นเชิง
แม้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ท้าทาย แต่ทุกคนเห็นพ้องกันว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ โอกาสในการใช้พลัง AI เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นมีมหาศาล
หากเราเตรียมพร้อมและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาด เราจะไม่เป็นม้าในยุคที่รถยนต์กำลังมา แต่จะเป็นผู้ขับขี่ที่นำพาโลกไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า
ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ การรู้เท่าทันและพร้อมปรับตัวคือกุญแจสำคัญ ประวัติศาสตร์สอนเราว่าเทคโนโลยีมักสร้างงานและโอกาสใหม่เสมอ แม้จะทำลายงานเก่าไปด้วย
สิ่งสำคัญคือต้องมองให้ไกลและพร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพราะในโลกที่ AI กำลังมีบทบาทมากขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นมนุษย์ และความสามารถในการปรับตัวจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญที่สุด
AI ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง หากเราใช้มันอย่างฉลาด เราจะสามารถรังสรรค์โลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่คนที่มีเงินหรือเทคโนโลยี แต่สำหรับทุกคนที่พร้อมจะเรียนรู้และปรับตัว
อนาคตของเราถูกเขียนด้วยโค้ดและอัลกอริทึม แต่ว่าใครจะเป็นคนเขียนมัน? คำตอบอยู่ที่ตัวเราทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณมีบทบาทในการกำหนดว่า AI จะพาเราไปทางไหน
เพราะฉะนั้นจงเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะมันไม่ได้มาแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มาแบบพลิกโลก และคนที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งนี่คือเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา