19 พ.ค. เวลา 06:16 • นิยาย เรื่องสั้น

เรือนแรมสีแดง

📍 นี่คือเรื่องของการฆาตกรรมที่เขียนออกมาได้เข้าถึงอารมณ์และจิตวิญญาณที่สุด เท่าที่ผมเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องราวแนวฆาตกรรมมามากกว่า 100 เล่ม ดีจริง ๆ จนอยากบอกว่าอ่านกันเถอะครับ ต่อให้คุณเป็นคนที่ไม่อ่านแนวนี้
.
ไม่ใช่เพราะมีโครงเรื่องที่น่าตื่นตะลึงจนถึงขั้นอ่านด้วยตาลุกวาว เรื่องราวของฆาตกรก็ไม่ได้ดึงดูดให้ลุ้นจนใจจดจ่อ ยิ่งไม่มีลูกล่อลูกชนหรือเทคนิกการฆ่าที่แพรวพราย มูลเหตุจูงใจนั้นง่าย ๆ และซื่อตรงอย่างยิ่ง แต่อ่านแล้วทิ้งร่องรอยของตะกอนให้ลอยคว้างในใจไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง กล่าวถึงสำนวนภาษานั้นไปไกลถึงขนาดว่า อ่านแล้วเหมือนผู้ประพันธ์เข้าถึงความเจ็บช้ำทั้งปวงของทั้งตัวผู้ตกเป็นเหยื่อ และทำให้น่าเชื่อว่าเขารู้ถึงความเป็นตัวตนของคนที่เป็นคนร้ายผู้ลงมือ ราวกับตนเองคือผู้ถืออาวุธสังหาร
.
นี่สินะที่เรียกกันว่า พรสวรรค์ ทำให้ผมเชื่อมั่นอย่างสนิทใจ "บัลซัค" ไม่ได้เพิ่งเป็นนักเขียนในชาติที่เป็น ออนอเร่ เดอ บัลซัค นี้เป็นชาติแรก หากแต่สั่งสมหน่วยกิตของการเรียนรู้ ทำซ้ำ และใฝ่ฝันมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะใช้ปากกาหรืออะไรก็ตามที่ใช้แทนกันได้ ในการช่วยเขย่าเหล่ามนุษย์ในสังคมชาติ ซึ่งตนดำรงชีวิตอยู่ ณ ห้วงเวลานั้น ๆ ในฐานะปราชญ์ทางภาษามาแล้วนับชาติไม่ถ้วน
และผลแห่งความพยายามทำซ้ำและพากเพียรไม่หยุด ก่อให้เกิดผลน่าอัศจรรย์ในชาติปัจจุบันของเขาที่ใช้นามนี้ แม้นชาติหนึ่งชาติใดในวันหน้า ถ้าได้เวียนมาเป็นมนุษย์อีกก็เชื่อว่าเขายังคงต้องมีอาชีพเกี่ยวกับการเผยแพร่ความคิดของตนออกมาเป็นอักษรอีกแน่นอน เขาคือนักประพันธ์ซึ่งเปรียบเสมือนอนุสาวรีย์แห่งความน่าชื่นชมยกย่อง ที่บรรดานักประพันธ์นามอุโฆษที่เกิดทันได้ร่วมสมัย หรือแม้นรุ่นหลังต่างถือเป็นครูด้านงานเขียน อาทิ ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี, วิกเตอร์ อูโก้, อาเล็กซองดร์ ดูมาส์ เป็นต้น
......... . . . . .
#เรือนแรมสีแดง (L'auberge rouge)
สนพ. อ่าน ๑๐๑ พ.ค.2564
ออนอเร่ เดอ บัลซัค เขียน
วัลยา วิวัฒน์ศร : แปลจากภาษาฝรั่งเศส
นักรบ มูลมานัส : ออกแบบปก
101 หน้า 120 บาท ใน meb ลดเหลือ 72 บาท
เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นนวนิยายสั้น หรือเรื่องสั้นขนาดยาว ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรนั้น ล้วนคือเรื่องราวของชายหนุ่มผู้น่าสงสารที่สุด ชีวิตของเขาช่างรันทดสุดแสน เหมือนตกอยู่ในแดนสนธยาอาสัญ ที่พลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ
.
เมื่อชายชาวเยอรมันสูงวัยคนหนึ่ง ได้เล่าถึงเหตุการณ์ชีวิตของชายหนุ่ม ที่เขารับฝากให้นำจดหมายที่หนุ่มคนนั้นเขียน ไปมอบกับมารดาที่รออยู่ที่บ้านซึ่งห่างไกลในฝรั่งเศส ขณะเขาต้องไปเป็นผู้ช่วยศัลยแพทย์ ในช่วงสงครามของยุโรปที่มีการรบพุ่ง ให้กับเพื่อนร่วมวงสนทนาในงานเลี้ยงอาหารค่ำ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
.
หนุ่มคนนั้นเพิ่งอายุได้ 20 ปี ยังละอ่อนอยู่แท้ ๆ เขาพร้อมเพื่อนชายอีกคนที่จะไปเป็นผู้ช่วยหมอเช่นกัน ได้เข้าพักในเคหะสถานซึ่งมีอาหารค่ำและที่นอนให้ผู้เดินทางไกล สถานที่ดังกล่าวมีชื่อว่าเรือนแรมสีแดง ถูกเรียกตามสีที่ปรากฏบนตัวอาคาร โดยมีเจ้าของเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งในคืนวันเกิดเหตุ มีชายลักษณะท่าทางเป็นพ่อค้า ที่มาพร้อมบริวารจากทางเรือ และมีกระเป๋าสัมภาระใบโตมาด้วย
ชายคนนี้มีความลับที่ไม่ควรจะพูดให้ใครได้ยิน แต่ลืมสิ้นถึงกฎสำคัญประการนี้ ไม่รู้ทำไมคืนวันที่เขาเปิดประตูเข้ามา เพื่อจะหาที่พักและอาหาร แล้วได้พบกับสองหนุ่มและเจ้าของบ้าน เขากลับกินดื่มจนเบิกบาน อาจเพราะพบพานคนถูกใจ แล้วพลั้งปากออกไปถึงสิ่งที่อยู่ในกระเป๋า ทำให้เขาเหล่านั้นที่ร่วมกินดื่มบนโต๊ะอาหารได้ยิน จนใครบางคนสูญสิ้นมโนธรรมนำสู่จุดเริ่มต้นแห่งความวิปโยคมาสู่พวกเขาทั้งหลาย
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นตัวละครสำคัญ ความร้ายแรงของเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่เกิดตามมาหลังจากคำพูดที่ไม่ทันระมัดระวัง ได้พัดพาเอาความหวัง ความฝัน และลมหายใจอุ่นระอุหายไปจากผู้ชายหลายคน ในสถานการณ์และวาระอันแตกต่าง และสร้างความโศกทิ้งไว้ให้กับผู้อยู่เบื้องหลังอย่างไม่มีวันลบเลือน
. . . . . . . ...............
ไม่อาจบอกไปมากกว่านี้ครับ เพราะอยากให้ทุกคนได้เสพรับความรู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกด้วยตนเอง ใครบ้างที่ไม่ควรพลาดอ่านเล่มนี้
✅️คนที่เป็นนักเขียนและนักอยากเขียนทุกคน ที่ต้องการผลิตผลงานให้เหนือไปกว่างานเขียนทั่วไปที่มีล้นตลาด จะได้เรียนรู้วิธีการเขียนอันน่าทึ่ง และภาษางดงามที่กลั่นกรองแล้วกลั่นกรองอีก จนกลายมาเป็นผลงานที่สั่นไหวหัวใจอย่างรุนแรง
✅️คนที่ชอบเสพงานแนวฆาตกรรม นี่เป็นงานรูปแบบที่ไม่มีใครเหมือน และมิอาจเลียนแบบได้แม้นกาลเวลาผ่านไปอีกนานเท่าใด จะยังคงมีความร่วมสมัยและสูงค่าตลอดไป ตราบใดมนุษยชาติยังไม่หลงลืมวิธีการอ่าน
✅️คนที่เป็นนักแปล กำลังฝึกแปล และชื่นชอบอยากทำงานแปล เพราะนี่จัดเป็นผลงานแปลที่สุดยอดชิ้นหนึ่ง โดยนักแปลผู้มีประสบการณ์ยาวนาน และทำการบ้านในงานของตนเป็นอย่างดี ดีมาก ที่ควรศึกษาไว้
✅️คนที่อยากเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์งานเขียน ระดับคุณภาพตัวจริง คนที่ทำงานด้านรีวิวหนังสือ คนที่กำลังฝึกเขียนวิจารณ์ เพราะท้ายเล่มมีภาควิเคราะห์เจาะลึกของผู้แปลที่มีมุมมองต่อผู้เขียน และเนื้อหา รวมถึงเจาะลึกลงถึงรากคือประวัติชีวิตและความเป็นตัวตนของ
บัลซัคอย่างถึงแก่น ทำให้ผู้อ่านได้รับขุมทรัพย์อันมีค่าหาประมาณมิได้ นอกเหนือจากความสุขล้นที่ได้จากการเสพรสวรรณศิลป์ในวรรณกรรมชิ้นนี้
✅️คนที่เรียนทางด้านประวัตินักเขียน วิเคราะห์วรรณคดี วิจารณ์งานเขียน บุคคลสำคัญที่มีผลงานเขียนเป็นที่รู้จักมากมาย และคนในสายงานด้านนี้ จะได้ศึกษารูปแบบงานเขียน โครงสร้าง กลวิธีการเล่าเรื่องทั้งหลาย
✅️นักอ่านทั่วไปที่แม้นไม่ชอบแนวฆาตกรรม ทว่าเล่มนี้ไม่ได้เน้นไปที่ประเด็นการคลี่คลายการฆาตกรรม แต่เน้นลงลึกไปถึงความปั่นป่วนของสภาพจิตใจของตัวละครที่เกี่ยวข้อง หลังเกิดการเสียชีวิตแล้ว ความรู้สึกผิดที่เผาเผลาญจิตวิญญาณของทั้งคนร้ายและคนที่ไม่ใช่คนร้าย แต่เสมือนหนึ่งเป็นคนร้ายอีกคนหนึ่ง
ด้วยวิธีเล่าเรื่องในแบบ การเล่าซ้อนเล่ามากกว่าสองชั้น ต้องอ่านอย่างมีสมาธิและละเลียดบรรจง มิฉะนั้นอาจจะงงหรือสับสนในคราวแรก ยิ่งชื่อตัวละครที่เป็นสัญชาติเยอรมัน และฝรั่งเศส แต่ละคนล้วนออกเสียงไม่คุ้นเคย และค่อนข้างยาวสำหรับนักอ่านชาวไทยด้วยแล้วจึงยากที่จะจดจำ
อีกทั้งผู้เขียนบรรยายโดยใช้สำนวนโวหารภาพพจน์ที่ต้องอ่านไป ตีความนัยยะที่เปรียบเทียบหรือเปรียบเปรยสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกประโยค หากอ่านแบบผ่าน ๆ หรือกวาดตาโดยเร็ว คงยากที่จะได้รับทราบและเข้าใจในเนื้อหาของเรื่องอย่างครบถ้วน กล่าวได้ว่าเป็นเล่มหนึ่งที่ควรอ่านซ้ำให้มากครั้งได้เท่าไรยิ่งดี เพราะจะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นมากกว่าอ่านครั้งแรก ๆ อย่างแน่นอน
.
ผมอ่านเล่มนี้จากห้องสมุดออนไลน์ มีเวลาแค่สามวันซึ่งอยู่ในช่วงที่เวลาว่างจำกัด จึงต้องเร่งอ่านอย่างมากเพื่อให้ทันก่อนคืนเข้าระบบ แม้นกระนั้นก็ยังประทับใจมากที่สุด ยิ่งได้อ่านข้อมูลเสริมจากผู้แปลเพิ่มเติมช่วงท้ายเล่ม ที่บอกว่ากว่าจะยอมปล่อยให้หนังสือที่ตนเขียนแต่ละเรื่องได้รับการตีพิมพ์นั้น บัลซัคแก้ไขแล้วแก้ไขอีก มากกว่า 15 รอบ ยิ่งรู้สึกถึงความพิถีพิถันและมุ่งมั่นอันหาได้ยากในนักเขียนทั่วไป
เขาอายุไม่ยืน มีชีวิตอยู่เพียงประมาณ 50 ปี แต่ใช้เวลาผลิตผลงานเป็นเวลาแค่ 20 ปี ที่เขียนนิยายไว้มากมายถึง 80 กว่าเรื่อง เยอะจนแทบไม่น่าเชื่อ และใช้เวลาในการเขียนเรื่องนี้เพียงไม่กี่เดือน แต่เป็นไม่กี่เดือนที่เขียนแล้วแก้นับครั้งไม่ถ้วน นี่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผลแห่งความวิริยะนั้น ได้ทิ้งไว้เป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่บรรณพิภพ แม้นจะถูกเขียนมาตั้งแต่ ค.ศ.1831 ยาวนานเกือบ 200 ปีแล้วก็ตาม
ผมตั้งใจว่าจะต้องอ่านอีกแน่นอนอย่างน้อยปีละครั้ง
โฆษณา