21 พ.ค. เวลา 00:59 • ประวัติศาสตร์

The Barbarian Conspiracy

ในปี ค.ศ. 367 ในช่วงที่อาณาเขตของอาณาจักรโรมันครอบคลุมค่อนทวีปยุโรปจากตะวันออกจรดตะวันตกและตอนเหนือของทวีปแอฟริกาที่อยู่รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ได้มีการรุกใหญ่ของอนารยะชนหลายเผ่าเข้าโจมตีดินแดนชายขอบทางตะวันตกคือบริ9าเนียและกอล ซึ่งก็คือดินแดนที่เป็นประเทศอังกฤษและฝรั่งเศสในปัจจุบัน
แม้ในที่สุดจะถูกปราบปรามราบคาบ แต่อำนาจของโรมในดินแดนชายขอบด้านนั้นก็สั่นคลอนนับแต่นั้นมา
นักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า The Barbarian Conspiracy หรือ The Great Conspiracy เพราะมีสมมุติฐานว่านี่เป็นการจงใจร่วมมือกันเข้าตีที่หมายหลายแห่งพร้อมๆ กันโดยอนารยะชนหลายเผ่า
ซึ่งล่าสุดมีทฤษฎีว่าเหตุการณ์นี้เกิดเพราะภาวะโลกรวน
มาลองดูกัน
ก่อนจะเป็นบริตาเนีย
เล่าย้อนที่มาที่ไปนิดหนึ่งว่า ในยุคที่โรมเรืองอำนาจศูนย์กลางอารยะธรรมของยุโรปอยู่แถบรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เกาะอังกฤษที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกจึงจัดเป็นดินแดนไกลปืนเที่ยงนอกเขตอารยะธรรม ต่อให้วันที่อากาศดีจะมองจากแผ่นดินที่เป็นประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันออกไปเห็นเกาะอังกฤษอยู่ลิบๆ ก็เถอะ
ถึงกระนั้นอังกฤษก็มีทรัพยากรที่เป็นที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในยุคสำริดคือแร่ดีบุกที่เอามาผสมกับทองแดงกลายเป็นสำริด และคนบนเกาะอังกฤษสามารถส่งออกดีบุกเป็นล่ำเป็นสัน
ยุคที่โรมเรืองอำนาจเป็นยุคเหล็กแล้ว แต่ดีบุกก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ จึงไม่แปลกที่โรมจะชายตามองดูเกาะอังกฤษอยู่เนืองๆ
การยกพลขึ้นบกครั้งแรก
ผู้บัญชาการทหารชาวโรมันคนแรกที่ “ลอง” ยกพลขึ้นบกที่เกาะอังกฤษคือจูเลียส ซีซาร์ คนเดียวกับที่โดนมิตรสหายช่วยกันแทงจนพรุนในกรุงโรมในเวลาต่อมานั่นล่ะ
ซีซาร์ยกพลขึ้นบกเกาะอังกฤษครั้งแรกเมื่อปี 55 ก่อนศริสตกาล ที่มณฑลเคนท์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะอังกฤษ ในเวลานั้นการเมืองการปกครองบนเกาะยังมีลักษณะเป็นชนเผ่า (tribe) ที่อยู่กันกระจัดกระจายและรวมตัวกันหลวมๆ มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกันบ้าง รบกันเล็กๆ บ้างพอหอมปากหอมคอ
แต่ก็มีชุมชนที่พอจะเรียกได้ว่าเมืองและมีป้อมค่ายบนยอดเนิน (hill fort) เอาไว้เป็นที่มั่นเวลารบกัน เรียกว่าไม่ถึงกับป่าเถื่อนล้าหลัง
ส่วนซีซาร์เพิ่งชนะสงครามกับชาวกอลในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศฝรั่งเศส
ตามบันทึกของชาวโรมัน ซีซาร์ไม่ได้ดุ่ยๆ พากองเรือข้ามไปยกพลขึ้นบกดื้อๆ แต่ส่งตัวแทนไปเจรจาหาพันธมิตรล่วงหน้า ทำนองยุยงให้แตกแยกก่อนแล้วจึงเข้าตี อันเป็นกลยุทธคลาสสิกที่โรมทำกับชนเผ่าต่างๆ ในภาคพื้นทวีปมานาน
รอบแรกนี้ไม่เป็นผล ชนเผ่าในเกาะอังกฤษรวมหัวกันต่อต้านการยกพลขึ้นบกอย่างดุเดือด แม้ว่าทหารโรมันจะยึดหัวหาดสถาปนาที่มั่นได้ แต่เนื่องจากไม่ได้ตระเตรียมเสบียงมาสำหรับการรบแบบยืนระยะ อีกทั้งคลื่นลมในช่องแคบอังกฤษส่งผลให้กองทหารม้าไปขึ้นฝั่งผิดที่ จากที่กะว่าจะไปปล้นชิงเสบียงเอา พอโดนยันไว้ที่ชายหาด ซีซาร์ก็จำเป็นต้องถอยกลับไปตั้งหลักทางฟากฝรั่งเศส
ซีซาร์กลับมาอีกครั้งในปีต่อมา คราวนี้เตรียมตัวมาดีกว่าเดิม สามารถรุกคืบเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ของเกาะอังกฤษได้พอสมควร เขากำหราบชนเผ่าตามรายทางและบังคับให้พวกนั้นสวามิภักดิ์ต่อโรม
แต่ลงท้ายก็ถอนทหารกลับไปเหมือนเดิม
ซึ่งสำหรับชาวบ้านทั่วไปนี่ออกจะเป็นเรื่องทำนอง อิหยังวะ เพราะการมาและไปของทหารโรมันไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับวิถีชีวิตของพวกเขาเลย
ถ้าเทียบแบบไทยๆ จะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกาะเป็นประเทศราชของโรมก็น่าได้ คือยังปกครองกันเอง แต่ส่งบรรณาการ (ก็ภาษีนั่นล่ะ) ให้โรม และชนชั้นสูงยอมรับวัฒนธรรมโรมันซึ่งแสดงว่าอาณาจักรนั้นมีอารยะเหนือกว่า
การยึดครอง
หลังจากนั้นโรมก็ส่งทหารมาฮึ่มฮั่มที่ฝั่งตรงข้ามช่องแคบให้คนบนเกาะอังกฤษเห็นบ้างเป็นครั้งคราว
ครั้งที่เป็นที่โปกฮาที่สุดคือในรัชสมัยของจักรพรรดิคาลิกูลา ที่มีบันทึกว่าหลังจากระดมพลพรั่งพร้อม คาลิกูลาก็สั่งให้ทหารรบกับยอดคลื่นและเก็บเปลือกหอยตามชายหาดแล้วก็ประกาศชัยชนะเหนือเทพเจ้าโพไซดอนและเลิกพล (น่าจะวิปลาสจริง)
โรมยกพลขึ้นบกเกาะอังกฤษอีกครั้งใน คศ. 43 รัชสมัยจักรพรรดิคลอเดียส ด้วยสาเหตุที่ออกจะไม่เป็นเรื่อง คือคลอเดียสแกจับพลัดจับผลูได้บัลลังก์มา เลยอยากจะสร้างผลงานเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง
มองไปมองมา ยึดเกาะอังกฤษให้ชาวโรมันเห็นเป็นที่ประจักษ์ดีกว่า
นักประวัติศาสตร์ทางทหารบางคนบอกว่า การเตรียมการยกพลข้ามช่องแคบอังกฤษครั้งนั้นยิ่งใหญ่อลังการมากจนเทียบได้กับการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเตรียมตัวมาดีขนาดนั้นกองทัพโรมันภายใต้การนำของแม่ทัพชื่อ ออลุส พลอเตียส ย่อมมีชัยชนะ คลอเดียสตามมาเกาะอังกฤษอย่างยิ่งใหญ่และทำสงครามจิตวิทยากับชาวพื้นเมืองด้วยการเอาช้างศึกมาด้วย เรียกว่าแสดงกฤษฎาอภินิหารกันเต็มที่
โรมใช้เวลาอีกหลายทศวรรษเหมือนกันในการสถาปนาอำนาจเหนือเกาะอังกฤษภาคใต้ ยกฐานะเกาะชายขอบของอาณาจักรขึ้นเป็นจังหวัดบริตาเนีย ส่วนทางภาคเหนือที่ดูยังไม่เจริญเท่าไร ทรัพยากรมีน้อยและเจ้าของถิ่นก็สู้ถวายหัว ดูแล้วไม่คุ้ม จึงไม่มีการรุกคืบเข้าครอบครองพื้นที่อย่างจริงจังแม้จนอีกหลายร้อยปีให้หลัง
คราวนี้อารยะธรรมโรมันหลั่งไหลเกาะอังกฤษ มีการสร้างถนน ป้อมค่าย มีการค้าขายมากขึ้น ชนชั้นผู้มีอันจะกินและชนชั้นปกครองเรียนและพูดภาษาละตินได้ ใช้ชื่อภาษาละติน สังสรรกันในที่อาบน้ำสาธารณะ ฯลฯ เศรษฐกิจทางภาคใต้ของอังกฤษรุ่งเรืองขึ้น ลอนดอนหรือชื่อในภาษาละตินว่า Londoniumกลายเป็นมหานครขนาดย่อมๆ ขึ้นมา
แต่แน่นอนว่ามีการต่อต้านและการปราบปรามเป็นระยะ
โรมคงกองทหารขนาดใหญ่ไว้ในอังกฤษ ส่งคนมาทำหน้าที่ข้าหลวงใหญ่และไม่เคยไว้ใจให้คนพื้นเมืองอังกฤษเองทำหน้าที่ข้าหลวงใหญ่เลย
แนวกำแพงเฮเดรียนและแอนโตนีน  เครดิต : Wikipedia
เมื่อการกระทบกระทั่งกับชนเผ่าทางเหนือรุนแรงยิ่งขึ้น โรมก็สร้างแนวกำแพงขึ้นเป็นชายอาณาเขตเสียเลย แนวแรกคือกำแพงเฮเดรียนซึ่งยังคงทำหน้าที่เป็นแนวระวังป้องกันอยู่จนอำนาจของโรมล่มสลาย ส่วนกำแพงแอนโทนนีนที่อยู่เหนือขึ้นไปหน่อยนั้นอยู่ได้เพียงพักเดียวโรมก็ต้องถอนทหารถอยลงมา
พื้นที่ระหว่างสองกำแพงจึงกลายเป็นอะไรที่คล้ายๆ กับ No man land ระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ ที่นักรบทั้งสองฝ่ายยั่วยุกันไปมาและฟาดฟันกันพอหอมปากหอมคอ แต่ชาวบ้านร้านช่องค้าขายกันก็ไม่น้อยตามประสาคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันเพราะความเห็นต่างทางการเมืองหรือลัทธิชาตินิยม
The Barbarian Conspiracy จุดเริ่มต้นของความเสื่อม
นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า The Barbarian Conspiracy หรือการรุกโจมตีบริตาเนียของชนเผ่าอนารยะชนเมื่อปี ค.ศ. 367 คือจุดเริ่มต้นของการเสื่อมอำนาจของโรมในดินแดนนี้แบบไม่อาจถอยหลังคืนได้
เหตุที่เรียกว่าการรุกใหญ่ครั้งนี้ว่า conspiracy หรือการสมคบคิดก็เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงชนเผ่าเดียวที่รุกรานบริตาเนียในเวลาเกือบๆ จะพร้อมกัน
สมาชิกการรุมกินโต๊ะครั้งนี้ประกอบด้วย
1. พิคท์ Pict ดังที่ได้เล่าแล้ว พวกนี้อยู่ทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษบริเวณที่ปัจจุบันคือสก๊อตต์แลนด์ เป็นคู่รักคู่แค้นกับทหารโรมันมานาน ถึงขนาดที่ว่าภาพยนตร์ฮอลลีวูดแทบทุกเรื่องที่มีพื้นหลังเป็นประวัติศาสตร์อังกฤษยุคนี้ต้องเอาเผ่านี้ใส่มาด้วย
ความที่มีชายแดนติดกันพวกพิคท์จึงโจมตีตามแนวกำแพงเฮเดรียน บันทึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัยระบุว่าทหารโรมันตามแนวกำแพงบางส่วนแปรพักตร์หรือไม่ก็ละทิ้งหน้าที่
2. สก๊อตติ (Scotti) ซึ่งคือบรรพชนของชาวสก๊อตต์ พวกนี้มีถิ่นฐานอยู่ในไฮเบอร์เนียหรือไอร์แลนด์ในปัจจุบัน กลุ่มนี้เข้าโจมตีดินแดนภายใต้การปกครองของโรมตามแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะอังกฤษ
3. แซกซั่น (Saxon) ที่จะเป็นผู้รุกรานหลักของเกาะอังกฤษในเวลาต่อมา พวกนี้มาจากภาคพื้นทวีป และเข้าโจมตีชายฝั่งด้านตะวันออกและใต้
ข้อมูลบางกระแสบอกว่าพวกแซกซั่นเข้าโจมตีชายฝั่งแควันกอลด้วย แต่บางกระแสบอกว่านั่นคือพวกแฟรงค์ต่างหาก ทั้งยังอาจเป็นไปได้ว่าสองเผ่าร่วมด้วยช่วยกัน
ซึ่งผลในทางยุทธศาสตร์ก็คือ กองทหารโรมันในแคว้นกอลไม่ว่างมาช่วยพรรคพวกในบริตาเนีย
ในขณะนั้นโรมก็ทำสงครามกับเผ่าอนารยะชนทางชายแดนด้านตะวันตกอยู่แล้วของภาคพื้นทวีปอยู่แล้ว สถานการณ์จึงเพิ่มความตึงมือเข้าไปอีก
ส่วนในบริตาเนียนั่นก็ยับ นายทหารระดับสูงถูกสังหารหรือไม่ก็ถูกจับ พวกพิคท์และสก๊อตติรุกรานปล้นและช่วงชิงสร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
จนล่วงเข้ามาค.ศ. 36 8 โรมจึงตอบโต้
โรมส่งแม่ทัพธีโอโดซิอุสมากำหราบคนเถื่อน ซึ่งเขาก็สามารถทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นาน ทั้งสามารรถยึดเมืองชายฝั่งคืน สังหารและจับกุมผู้รุกราน ฟื้นฟูบูรณะป้อมค่ายอันเป็นแนวระวังป้องกันสำคัญให้กลับมาใช้การได้
แต่อำนาจของโรมเหนือเกาะอังกฤษสั่นคลอนนับแต่นั้นเป็นต้นมา ประชาคมเมืองและหมู่บ้านที่เคยเชื่อมั่นว่ากองทหารโรมันจะคุ้มครองความปลอดภัยให้ได้หมดความเชื่อมั่นเรื่องนี้ ผู้นำท้องถิ่นจำเป็นสะสมกำลังเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยจากการรุกรานครั้งใหม่ ซึ่งทหารโรมันก็ทำอะไรไม่ถนัด ระบบการเมืองการปกครองบนเกาะอังกฤษถอยกลับไปคล้ายๆ กับยุคก่อนการยึดครองของโรมอีกครั้ง
ธีโอโดซิอุสเองประจำการอยู่ที่บริตาเนียได้ไม่นานก็ถูกเรียกไปรับมือการรุกรานของอนารยะชนในแนวรบอื่น และลงเอยด้วยการถูกประหารชีวิต
เพราะโลกรวน
คำถามที่น่าสนใจตรงนี้คือ พวกพิคท์และสก๊อตติรุกรานบริตาเนียทำไม
ที่แน่ๆ คือไม่ใช่เพราะต้องการปลดแอก เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจโรม ไม่ได้ต้องการยึดครองดินแดน เพราะแม้ขณะนั้นจักรวรรดิโรมันจะทำสงครามกับอนารยะชนทั้งทางตะวันออกและตะวันตก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเพลี่ยงพล้ำจนไม่อาจรักษาบริตาเนียไว้ได้
อย่าว่าแต่คนที่อยู่ใต้กำแพงเฮเดรียนลงมาก็ไม่ใช่เผ่าเดียวกันที่จะรวมกันได้
คำตอบที่นักโบราณคดีมีในขณะนี้เพราะโลกรวน
สามปีก่อนเกิดเหตุการณ์ The Barbarian Conspiracy เกาะอังกฤษประสบภาวะแห้งแล้งรุนแรงติดต่อกัน ถึงขนาดที่ว่าปริมาณน้ำฝนรายปีลดลงครึ่งหนึ่ง
ปรกติแล้วปริมาณฝนรายปีบนเกาะอังกฤษจะไล่เลี่ยกับบ้านเรา เอาตัวเลขกลมๆ ก็จะอยู่ราวๆ 1,200 – 1,400 มม.
แต่จากการศึกษาวงปีของต้นไม้ นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าในปี 364 มีฝนตกเพียงราว 736 มม. (ละเอียดไปหรือเปล่า) ปี 365 มี 711 มม. ปี 366 ดีขึ้นมาหน่อยคือมี 940 มม.
ผลของมันคือชาวไร่ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ปีเดียวยังพอทำเนา แต่สามปีติดต่อกันมันส่งผลถึงขนาดที่ว่ายุ้งฉางไม่มีธัญพืชเหลือ ผู้คนอดอยาก
แต่ชนเผ่าอนารยะชนทางเหนือและในไอร์แลนด์ได้รับผลกระทบมากยิ่งกว่า สาเหตุหลักๆ ก็คือรูปแบบสังคมที่ยังคงเป็นแบบการเกษตรกึ่งเร่ร่อนกึ่งเก็บของป่าล่าสัตว์ คือปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ บ้างเล็กน้อยประกอบกับการเก็บของป่าล่าสัตว์ เมื่อทรัพยากรหมดก็ย้ายที่ ทำให้ไม่มีการสะสมเสบียงอย่างเป็นระบบแบบในบริตาเนีย
ทางออกที่ดูดีสำหรับพวกนี้คือปล้นชิงเอาจากบริตาเนียที่อย่างไรก็ยังดูว่าจะอดอยากน้อยกว่า
ในยุคนั้นทหารโรมันได้รับค่าจ้างเป็นเงินและการปันส่วนเสบียง ในเมื่อไม่มีเสบียงสำหรับปันส่วนหรือซื้อหา สำหรับพวกที่ประจำการอยู่ตามแนวกำแพงเฮเดรียนนี่เป็นเรื่องเลวร้ายอย่างมาก แนวกำแพงเฮเดรียนเรียกได้ว่าเป็นปลายสุดของดินแดนที่มีอารยะธรรม ความเป็นอยู่ยากลำบาก และวันดีคืนร้ายก็ต้องเผชิญการรุกรานจากอนารยะชน เมื่อเพิ่มความอดอยากเข้ามาอีกเรื่องหนึ่งจึงไม่แปลกที่จะมีทั้งการกบฏและแปรพักตร์
พวกพิคท์จึงรุกผ่านแนวกำแพงลงมาปล้นชิงชาวบ้านได้
นักประวัติศาสตร์ดูจะยังไม่มีข้อยุติว่า จริงๆ แล้วการรุกรานของพวกพิคท์และสก๊อตติเป็นไปเพื่อต้องการปล้นชิงเนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น หรือมองเห็นความอ่อนแอของกองทหารโรมันและต้องการฉวยโอกาสขยายอิทธิพลยึดครองดินแดนเพิ่มเติมกันแน่
แต่ที่แน่ๆ คือเพราะโลกรวน อิทธิพลอำนาจของโรมในบริตาเนียจึงถดถอย
หลังจากนั้นมาบริตาเนียก็ถูกรุกรานอีกบ่อยครั้ง จนถึงปี ค.ศ. 410 เมื่อจักรพรรดิโฮโนเรียสตอบคำร้องขอความช่วยเหลือว่า พวกท่านจงป้องกันตนเองเถิด จึงถือเป็นอันสิ้นสุดการปกครองของโรม
โฆษณา