31 พ.ค. เวลา 14:06 • ธุรกิจ

เด็กใช้สมุดปากกาน้อยลง แต่ ‘สมใจ’ ยังโกย ‘400 ล้าน’ ทายาทรุ่นที่ 3 เร่งปรับตัว

เครื่องเขียนกลายเป็นธุรกิจ “Sunset” ไปแล้ว? คุยกับ “ตาล-นพนารี” ทายาทรุ่นที่ 3 ร้านเครื่องเขียนสมใจ จบวิศวะ จุฬาฯ เคยเป็นนักวิเคราะห์ที่ “American Express” ก่อนกลับมาช่วยกิจการที่บ้าน ปรับโครงสร้างการขาย เน้นทำออนไลน์-ยุบสาขาช่วงโควิด เผชิญวิกฤติติดลบหลายปี กระทั่งปิดบวกได้ในปี 2567
แม้ว่าตามสถิติแล้วธุรกิจครอบครัวจะมีโอกาสล้มหายตายจากได้ยากกว่าธุรกิจรูปแบบอื่นๆ แต่ขณะเดียวกันก็พบว่า ธุรกิจครอบครัวในไทยส่งต่อถึงรุ่นที่ 2 ได้เพียง 30% ส่งต่อถึงรุ่นที่ 3 ได้ 12% และมีเพียง 2% เท่านั้นที่ส่งต่อจนถึงรุ่นที่ 4 ร้านเครื่องเขียน “สมใจ” ที่มีอายุครบ 70 ปี ก่อตั้งในปี 2498 คือหนึ่งใน 12% ที่ส่งต่อมายังทายาทรุ่นที่ 3 ได้สำเร็จ
การมาถึงของรุ่นที่ 3 ยังช่วยต่อยอดธุรกิจเดินหน้าสู่ศักราชใหม่ผ่านการยกเครื่องออนไลน์แพลตฟอร์มทั้งหมด ลงทุนทำเว็บไซต์ตั้งแต่ยุคที่อีคอมเมิร์ซยังไม่เฟื่องฟู ตั้งแต่ยุคที่การโอนเงินไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เหมือนทุกวันนี้
จากจุดเริ่มต้นในการเซ้งตึกทำร้านขายสารานุกรมของคุณยายสมใจ ขยับขยายสู่ร้านเครื่องเขียนสาขาแรกบริเวณฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และวิทยาลัยเพาะช่าง ผ่านมาแล้ว 7 ทศวรรษ ปัจจุบัน “สมใจ” บริหารโดยทายาทรุ่นที่ 3 สองคน ได้แก่ “ตาล-นพนารี พัวรัตนอรุณกร” ดูแลด้านการตลาดและงานขายทั้งหมด ส่วน “วิภ-วิภวานี วิทยานนท์” ดูแลงานหลังบ้านตั้งแต่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ระบบ IT การเงิน ดูแลสต๊อกสินค้า ฯลฯ
“ตาล” เรียนจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจึงเลือกต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์บริหารที่สหรัฐ เมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานตำแหน่งนักวิเคราะห์ที่ “American Express” ทำได้ไม่ถึงปีก็ตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจที่บ้าน หลังจากตัดสินใจกลับมารับช่วงต่อเธอเจอกับปัญหาเรื่องระบบภายในไม่เสถียร
ด้วยวิธีคิดเชิงตรรกะแบบวิศวกร “ตาล” พยายามหา “Module” เข้าไปแก้ไข จนพบว่า สิ่งที่สมใจขาดหายไปคือระบบที่ใช้ในการจัดการงานทั้งห่วงโซ่ หลังจากนั้นจึงนำระบบ ERP มาใช้ พูดคุยกับพาร์ทเนอร์เพื่อพัฒนาโปรแกรม
หลังทำระบบ ERP แล้วเสร็จ “ตาล” ตัดสินใจพัฒนาเว็บไซต์ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ต่อทันที ซึ่งหากย้อนกลับไปตอนนั้นการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์ยังไม่ได้เป็นที่นิยมในบ้านเรามากนัก ขณะที่ “ตาล” มองว่า ต่อไปเว็บไซต์จะเป็น “The Next Things” เปรียบเทียบกับตัวเธอเองที่ซื้อของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เมื่อครั้งใช้ชีวิตที่สหรัฐ
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บไซต์ทำให้เธอตั้งเป้าว่า อย่างน้อยๆ ช่องทางนี้ต้องทำเงินให้ธุรกิจได้เทียบเท่าการเปิดหน้าร้านหนึ่งสาขา แต่ปรากฏว่า ยอดขายจากเว็บไซต์มีสัดส่วนเพียง 0.5% เท่านั้น “ตาล” บอกว่า การตัดสินใจครั้งนั้นเป็นชะนักติดหลังของเธอมาโดยตลอด กลายเป็น “Pain Point” ติดตัวไปอีกหลายปี เพราะทั้งชีวิตเป็นเด็กเรียนดี ประสบความสำเร็จมาเยอะ พอเจอความผิดหวังจึงรู้สึกติดค้างอยู่ในใจเรื่อยมา
แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เมื่อโลกได้รู้จักกับไวรัสโควิด-19 สาขาบนห้างของสมใจต้องปิดลงชั่วคราว แม้จะมีสาขาสแตนอโลนนอกห้างอยู่บ้าง แต่ถ้าไม่ตัดสินใจทำเว็บไซต์ขึ้นมาสัดส่วนยอดขายที่หายไปก็คงกลายเป็นช่องโหว่ทำให้ธุรกิจไปต่อยากกว่าเดิม ผ่านไป 5 ปีหลังตัดสินใจทำเว็บไซต์ “ตาล” บอกว่า เธอรู้สึกเหมือนได้ปลดล็อก เพราะออนไลน์คือทางรอดที่ทุกคนสามารถติดต่อกับร้านได้ในขณะนั้น
หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจในมือ “ตาล” และ “วิภ” คือการใช้ “Digitalized” เข้ามาเป็นตัวตั้ง เธอยอมรับว่า ร้านเครื่องเขียนไม่ใช่ธุรกิจ “Sunrise” แต่เป็นธุรกิจ “Sunset” หรือธุรกิจที่ใกล้ลับขอบฟ้า บรรยากาศในสังคมไม่เหมือนเดิม ยุคก่อนคนยังซื้อหนังสือการ์ตูนอ่าน ใช้ปากกาหลากหลายสี ยิ่งเปิดสาขาเยอะก็ยิ่งมีโอกาสเยอะประกอบกับคู่แข่งไม่ได้มีจำนวนมาก แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ดีมานด์ที่เคยมีอยู่ก็ลดลงไปด้วย
ประเภทสินค้าที่ขายดีที่สุดในร้านสมใจทุกวันนี้ไม่ใช่ปากกาหลากสีหรือสมุดจดเลคเชอร์หลายๆ เล่มเหมือนเดิมอีกแล้ว “ตาล” บอกว่า สินค้าในกลุ่มเครื่องเขียนมีแนวโน้มการเติบโตลดลง ยุคก่อนเด็กนักเรียนนิยมใช้กระเป๋าใส่ปากกาถุงใหญ่ๆ แต่สมัยนี้เด็กๆ พกปากกาเพียงคนละ 1-2 ด้าม กล่องใส่เครื่องเขียนเป็นเพียงกล่องเหล็กเรียบๆ ไม่มีลวดลาย พร้อมกับสมุดเพียง 1 เล่ม
ส่วนพฤติกรรมการซื้อสินค้าหมวดปากกาไม่ได้เน้นที่ความสวยงามภายนอก แต่ต้องมั่นใจว่า ยี่ห้อนี้ใช้ดีจริงๆ ฝั่งสีไม้พบว่า ยังเติบโตได้ดี ส่วนหนึ่งเพราะการเรียนการสอนในโรงเรียนยังให้ความสำคัญกับการวาดภาพระบายสีผ่านกระดาษ ดินสอ สีไม้แบบดั้งเดิม แตกต่างจากการจดบันทึกที่ขยับจากจดในสมุดสู่การจดโน้ตใน iPad หรือแท็บเล็ตไปแล้ว
ภาพรวมผลประกอบการ “บริษัท สมใจบิซกรุ๊ป จำกัด” ในปี 2567 เป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถพลิกทำกำไรได้สำเร็จหลังจากติดลบต่อเนื่องหลายปี “ตาล” กางตัวเลขพร้อมอธิบายว่า แนวโน้มเริ่มมีทิศทางดีขึ้นตั้งแต่ปี 2566 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงสองไตรมาสสุดท้าย และในปี 2567 ทำรายได้ไปราวๆ 400 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 16%
ส่วนในปีนี้ผ่านมา 4 เดือนพบว่า แนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็เอ่ยปากเหมือนกับผู้ประกอบการคนอื่นๆ ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดี มองว่า ปีนี้หนักและน่าจะหนักกว่าช่วงโควิด-19 ด้วยซ้ำไป การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีข้อจำกัดมากขึ้น ส่วนสาเหตุที่สินค้าในร้านสมใจยังไปได้ดีเพราะน่าจะตอบโจทย์เรื่องราคาและความคุ้มค่า เหมาะกับยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าในร้านราคาไม่แพง ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย คนไม่รู้สึกผิดที่จะเดินเข้าร้าน
โฆษณา