21 พ.ค. เวลา 08:58 • สุขภาพ

แพทย์ทราบเวลาที่เหลือของผู้ป่วยมะเร็งได้อย่างไร

ผมเคยมีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งครับ แล้วก็เป็นคนแรกของครอบครัว ที่แพทย์แจ้งว่า ผู้ป่วยจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ผมที่ตอนนั้นเป็นแค่เด็กอายุ 20 ต้นๆ ทำใจไม่ได้ แทบเสียสติเลย แต่ที่จริงแล้วคุณหมอหวังดีครับ คุณหมอไม่ต้องการให้ทั้งครอบครัวต้องจมอยู่กับการเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาแบบไม่รู้จบ ซึ่งบ้านที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกัน น่าจะเข้าใจเรื่องนี้
ในฐานะคนที่เคยมีประสบการใกล้ชิดกับโรคมะเร็ง ผมจึงสงสัยว่า แพทย์รู้ได้อย่างไร ว่าคนไข้จะอยู่ได้นานแค่ไหน แล้วมะเร็งแต่ละชนิด คนไข้จะมีเวลาเหลืออยู่เท่ากันหรือไม่
แน่นอนว่าผมไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ข้อมูลเหล่านี้ผมสืบหามาบนพื้นฐานของความสงสัยส่วนตัว แต่ผมพยายามแปรสำนวนให้เข้าใจง่ายที่สุด หากมีข้อมูลตรงไหนไม่ถูกต้องครบถ้วนตามหลักวิชาการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็ง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
การพยากรณ์ระยะเวลาการมีชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้ป่วยมะเร็งเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนการรักษาและการดูแลผู้ป่วย โดยทั่วไป แพทย์จะใช้ข้อมูลหลายด้านในการประเมิน เช่น ลักษณะของก้อนมะเร็ง ระยะของโรค และปัจจัยของผู้ป่วยเอง เพื่อให้ได้ค่าคาดหมายกลุ่มโดยรวมที่เหมาะสม
โดยการประเมินเบื้องตนอาจดูจากพยาธิสภาพที่ถูกอธิบายในรูปของ "ระยะ" ของโรคมะเร็ง ในระบบ TNM ซึ่งเป็นระบบการจัดระยะที่ใช้กันทั่วไป จะพิจารณาขนาดก้อนมะเร็ง (T), การลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง (N) และการกระจาย (metastasis, M) ระยะมะเร็งที่ต่ำ (เช่น ระยะที่ 1) มักสัมพันธ์กับโอกาสรักษาและอัตรารอดชีวิตที่ดีกว่าระยะสูง (เช่น ระยะที่ 4) ทั้งนี้ ระบบการจัดระยะบางชนิดอาจพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น เซลล์มะเร็งบางชนิดอาจมีระบบจัดระยะเฉพาะตัวหรือใช้เกณฑ์อื่นประกอบ.
3
นอกจากนี้ การประเมินปัจจัยร่วมของผู้ป่วย ก็เป็นส่วนสำคัญในการทำนายการดำเนินไปของมะเร็ง เช่น
1
ชนิดของมะเร็ง ตำแหน่งและชนิดทางพยาธิวิทยาของมะเร็งมีผลต่อการพยากรณ์ เช่น มะเร็งบางชนิดมีแนวโน้มลุกลามเร็วหรือทนต่อการรักษาต่างจากมะเร็งชนิดอื่นๆ (ตัวอย่างเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิดมีอัตรารอดชีวิตต่างจากมะเร็งอื่นๆ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด Acute Myeloid Leukemia (AML) มีอัตราการรอดชีวิตต่ำมากเมื่อเทียบกับมะเร็งทั่วไป)
นอกจากนี้ มะเร็งที่มีเซลล์มีรูปร่างผิดปกติมาก (เกรดสูง, poorly differentiated) มักเติบโตเร็วและลุกลามมากกว่ามะเร็งเกรดต่ำ (cells look more normal) งานของ ACS ระบุว่าเกรดมีความสำคัญเพราะมะเร็งเกรดสูงมักขยายตัวเร็วกว่า ทำให้อัตรารอดชีวิตโดยรวมต่ำกว่า
2
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญคืออายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่าโดยทั่วไปอาจมีโอกาสทนต่อการรักษาน้อยกว่าและมีโรคร่วมมากกว่า นอกจากนี้ระดับสมรรถภาพ (เช่น การให้คะแนน ECOG หรือ Karnofsky) เป็นปัจจัยพยากรณ์ที่สำคัญแพทย์นิยมใช้วัดความแข็งแรงโดยรวมของผู้ป่วย หลายงานวิจัยยืนยันว่ายิ่งสมรรถภาพดี (เช่น ECOG 0–1) มักมีอัตรารอดชีวิตสูงกว่า
ยังไม่นับปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ภาวะโภชนาการ (การลดน้ำหนักหรือดัชนีมวลกายต่ำ), เครื่องหมายทางชีวภาพบางตัว (เช่น LDH, CRP), โรคร่วม และปัจจัยทางพันธุกรรมหรือเนื้อเยื่อ
2
แหล่งข้อมูลประชากรมะเร็งขนาดใหญ่ เช่น ฐานข้อมูล SEER (Surveillance, Epidemiology, and End Results) ของสหรัฐฯ เก็บข้อมูลเคสผู้ป่วยมะเร็งหลายล้านคนครอบคลุมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ถึงปัจจุบัน และรวมข้อมูลอุบัติการณ์ อัตราการมีชีวิตต่อเนื่อง และอัตราตายของโรคต่างๆ ทำให้เป็นแหล่งข้อมูลทางระบาดวิทยาที่เชื่อถือได้ ข้อมูลจาก SEER ถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างสถิติการรอดชีวิตตามระยะและชนิดของมะเร็ง
นอกจากนี้ ยังมีฐานข้อมูลอื่นๆ เช่น NCDB (National Cancer Database) จากสถาบันมะเร็งอเมริกา หรือข้อมูลจากทะเบียนรักษาโรคมะเร็งในประเทศต่างๆ ข้อมูลโลกจริง (real-world evidence) เหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพการรอดชีวิตเฉลี่ยของประชากรมะเร็ง และช่วยพัฒนาโมเดลพยากรณ์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น.
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเครื่องมือและข้อมูลมากมาย การคาดการณ์อายุขัยสำหรับผู้ป่วยรายบุคคลยังมีความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ปัจจัยสำคัญคือสถิติการรอดชีวิตที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างใหญ่ (เช่น อัตรา 5-year survival ในรายงานต่างๆ) ไม่สามารถรับประกันผลลัพธ์กับผู้ป่วยแต่ละรายได้ กล่าวคือ ความคลาดเคลื่อนที่มาพร้อมกับการทำนาย (เช่น ช่วงความเชื่อมั่นของค่า survival) อาจถูกมองข้าม จึงควรใช้ผลพยากรณ์เหล่านี้เป็นข้อมูลอ้างอิงโดยพิจารณาร่วมกับปัจจัยทางคลินิกอื่นๆ และย้ำเตือนผู้ป่วยว่าผลลัพธ์เป็นการประมาณการคร่าวๆ เท่านั้น
อ้างอิง
โฆษณา