21 พ.ค. เวลา 13:31 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เรื่องราวของธาตุ .เราลองมองดูเหมือนในอากาศ หรือ อวกาศ . ก็มีธาตุดินลอยอยู่ ตั้งอยู่ แล้วก็มีธาตุน้ำลงมา ธาตุไฟลงมา ธาตุลมลงมา ผสมคลุก ก็ปั่นเป็นรูปได้ รูปหมูหมากาไก่ ปั่นขึ้นมา เป็นเหมือนเครื่องยนต์ชีวะภาพ ชิ้นหนึ่ง ที่ต้องมีอาหาร เข้าไปเสริม มีการบดขยี้อาหาร .มีกากของเสีย ถ่ายออกไปทิ้ง มีลมพัดเข้าออก ช่วยระบายรักษา ให้เครื่องจักรทำงาน เหมือนเป็น thermodynamics ช่วยรักษาอุณหภูมิในระดัยที่พอเหมาะ
หากเรามามองดูโลก ที่ลอยในอวกาศ ก็มีธาตุดินเป็นแกนกลาง ธาตน้ำ ธาตไฟ ธาตุลม ก็ลงมวจับตัวเป็นก้อนกลม.. มีแรงผลักแรงดูดเกืดขึ้น หมุนวน เวียนกันอยู่ บางทีก็พลิกแผ่นดินทำคนตาย บางที่ก็เอาน้ำมาทำให้ตาย ..คนเค้าว่า ดินฟ้าอากาศแปรปรวน โลกมันหมุนวนเวียนอย่างนี้ มานาน มีจิตมาเกิดในโลกมากมาย เกิดตายทับถมวนอยู่ในโลก จิตลอยขึ้นในอวกาศไม่ได้ เค้าว่าเป็นสวรรค์ชั้นห้า ต่างมิติ ..จิตเบาๆ ถึงจะบอยไปได้ ..ไม่ได้ไปแบบส่งจรวด อาศัยวัตถุธาตในโลกส่งไป .มันคนละมิติของธาตุ
คราวนี้ในการตั้งขึ้นรูป ปั้นรูปมนุษย์ ต้องอาศัยธาตุพ่อแม่ตั้งขึ้นมาเป็นเหมือนแกนกลางให้ธาตทั้งสี่ ที่จิตดวงนั้นสะสมมา มาเกาะเกี่ยว .แล้ว ก็มีน้ำเลือดน้ำหนอง ของผู้ที่มีกรรมที่หากินไปตามกรรม ไปหาน้ำเลือดน้ำหนองจากต้นไม้ จากเนื่อกรรมหมูเป็ดไก่ มาประกอบเสริมแต่งให้โต ..เอ..ทำไม่ไม่เอาไอ้ตัววิทยาศาสตร์มากินให้โต..เอ..จะเกิดมามีกายครบอาการสามสสองมั้ยนะ
..ระบบบดขยี้ น้ำเลือดน้ำหนอง มันก็แปลก วัวควายกินหญ้าก็ตัวโต ของก็ไปกินหญ้าไม่ได้ กินหญ้าแล้วมันตาย ..
เรื่องของอาหาร ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่เค้าเรียกว่า พระแม่โพสพ ช่วยสังเคราะห์ ธาตุดินน้ำลมไฟ ให้เป็นน้ำเลือดน้ำหนอง ที่มาจากต้นไม้ใบหญ้า ให้สัตว์กินพืชกินแล้วโต แล้วก็สัตว์กินเนื้อผู้อื่น กินแล้วโต ..ก็วนเวียนอยู่ในเรื่องคำว่า ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ พระแม่โพสพ
คราวนี้ เรื่องราวของธาตุ ที่ประกอบกาย มันก็มีมิติ ของธาตุทั้งสี่ ที่ละเอียดแตกต่างกันไป ภพภูม ที่เค้าเรียกว่า ภพภูมิ ที่อยู่กับธาตุใหญ่ๆ ในคำว่า มหาธาตุ หรือ จักรวาล แล้วจ้ตนั้นก็เป็นนามธรรม ..ที่จิตแต่ละดวง ก็มีธาตุทั้งสี่ คล้ายว่า เมื่อกายตายที่เป็นธาตุหยาบหมดสภาพไป จ้ตก็ออกจากกาย..เป็นนามธรรม ในคำว่าจิต..ก็มีธาตุทั้งสี่อยู่ ในสภาพที่ละเอียดเป็นนามธรรม ตรงนี้แหละ ที่จ้ตจะต้องมีที่อาศัย .ก็เป็นเรื่องของภพภูมิ ที่ธาตุทั้งสี่ที่สะสมมากับจิต จะไปประกอบให้ .ที่สุข หรือ ทุกข์
คราวนี้ เอาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาเรียนรู้ มันตอบคำถามอะไรต่างๆ ในเรื่องนามธรรมไม่ได้ ..แล้วองค์ความรู้ทางแพทย์ ตะวันออก ก็ใช้เรื่องของธาตุในการรักษาการเจ็บป่วย ปรับธาตุให้สมดุล ทำนองนี้ ใช้เรื่องราวของจิต เรื่องของการสังเกตุ ธาตุในเรื่อนกาย ..ไม่ได้ มีเครื่อง MRI อะไีร .
แม้แต่ในเรื่องราวไสยศาสตร์ ก็พัวพัว ในคำว่าธาตุอีกเหมือนกัน .แต่นั้นก็พัวพัว ในเรื่องของคำว่า แสงสี . มายาต่างๆ ทีมีเรื่องราวคำว่าธาตุทั้งสี่น้อยๆ ที่แปรปรวน..วิปริต.
พอธาตุทั้งสี่ มาประกอบในเมืองมนุษย์ โลกมนุษย์ เค้าก็มีวงกลมให้ วงกลมรอบศีรษะ ด้วยอารมณ์โลภโกรธหลง ยังมีตัณหาราคะ อารมณ์ต่างๆ เป็นกระแสวนรอบวิญญาณทั้งหก ที่เค้่าว่า กามาวจร .จิตนั้น..อาศัยอยู่ในรูป ก็หลงใหล จมอยู่ในคำว่า กามะ แล้วสิ่งที่ได้ ..จิตนั้นวนเวียน จร..ไปเกิดที่นั้นที่นี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ..ยัติการเกิดไม่ได้ เพราะหลงใช้หลงเชื่อ อารมณ์ที่เค้าปรุงแต่งให้ มีทั้งมายาของกาย มายาอารมณ์. ห้อมล้อมจิต หนีรอดไม่ได้เลย ชอบมั้ย เป็นนักท่องเที่ยว ในวัฏสงสาร..
กลับมาๆ ในการเรียนรู้เรื่องจองธาตุสี่ เค้าก็ใช้จิตที่มาอาศัยกายมนุษย์ .จิตที่เป็นนามธรรม เรียนรู้เรื่องราวของธาตุทั้งสี่ขึ้นมา ก็ย้อนกับไปที่ธาตุนะโม ธาตุทั้งสี่ที่มาประกอบเป็นกายให้จิตอาศัย ในการเรียนรู้
เค้าบอกว่า ต้องหมั่นใช้กาย เดินในรอย ที่สร้างบุญกุศล เพราะที่มาอาศัยกายนั้นมาสืบเนื่องมาด้วยกรรมที่สะสมมาเอง รอยที่พระท่าชี้ทางไว้ให้แล้ว รอยสร้างบุญกุศลบารมีขององค์พระสัมมาพุทธเจ้า จนจิตหลุดพ้น ..เราก็อาราธนารอยนั้น มาฝึกหัด เรียนรู้ไปตามรอยของท่าน ด้วยความนอบน้อม ..ในพระคุณของท่านที่ชี้ท่านไว้ให้ ..รอยสร้างบุญกุศล ..จะเอาวิทยาศาสตร์อะไรไปพิสูจน์ ..เพราะว่า จิตที่อาศัยในกายนี้ เป็นนามธรรม กายเจ็บก็รู้ ใครเค้าก็ไม่เจ็บด้วย ..เราก็เอาจิตของเราเรียนรู้ขึ้นมา ..ในกายที่เราอาศัยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
โฆษณา