21 พ.ค. เวลา 15:04 • ธุรกิจ

🚀 ปั้น Winning Culture ให้องค์กร?
(7 DNA ที่ทีมธรรมดาก็ไม่ธรรมดาได้ ถ้าผู้นำกล้าพอ! 🏆🔥)

ในโลกที่ "ทำดีพอ" ไม่พออีกต่อไป องค์กรที่ชนะไม่ใช่แค่มีคนเก่ง แต่ต้องมีกลไกที่ผลักให้คนธรรมดา "เก่งเกินตัวเอง" ได้ทุกวัน… และมันเริ่มจากวัฒนธรรม
ไม่ใช่วัฒนธรรมที่แปะไว้บนฝา หรือมีแค่กิจกรรมวันศุกร์ ไม่ใช่ที่ที่คนรอรับคำสั่ง หรือทนเงียบๆ กับสิ่งไม่ Make Sense
แต่มันคือ Winning Culture ที่หลอม DNA ให้ทุกคน "อยากชนะ…เพื่อทีม" ไม่ใช่แค่ "ทำตาม KPI เพื่อเอาตัวรอด"
บทความนี้คือต้องการชี้ให้ผู้นำที่อยากพลิกทีมธรรมดา ให้กลายเป็นองค์กรที่ทั้ง “น่าอยู่” และ “น่ากลัวในเกมธุรกิจ” พร้อมโมเดล 7 DNA ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง พร้อมแนวทางสร้าง และกรณีศึกษาเพื่อเริ่มต้นทันที
====
🧬 7 Winning Culture DNA
1. 🏆 ทะเยอทะยาน…แบบไม่หยุดนิ่ง
คนที่ Winning ไม่เคยพอใจกับคำว่า “ดีแล้ว” พวกเขาจะหิวมากกว่าเดิมทุกครั้งที่สำเร็จ และกล้าที่จะตั้งเป้าไกลกว่าที่เคย
🔁 คำถามปลายเปิด: "สิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว…ยังดีได้อีกมั้ย?"
กรณีศึกษา: All Blacks (นิวซีแลนด์) ปลูกฝังวัฒนธรรม “Better People Make Better All Blacks” – ทุกคนต้องพัฒนาให้ตัวเองดีกว่าเมื่อวาน ไม่ใช่แค่ชนะในสนาม
องค์กรที่มีวัฒนธรรมลักษณะนี้จะสนับสนุนการตั้งเป้าที่เกินขีดจำกัดของตัวเอง โดยไม่กลัวความล้มเหลว แต่มองว่ามันคือโอกาสในการเรียนรู้
2. 🌍 โฟกัสภายนอก มากกว่าตัวเองหรือหน่วยงานตัวเอง
องค์กรธรรมดามักหันกลับไปมองปัญหาภายใน ติดกับดัก KPI และการเมืององค์กร
ส่วนองค์กรที่มี Winning Culture จะ “หมกมุ่นกับลูกค้า” “เปิดตาให้ไวกับโลก” และ “ตั้งคำถามกับคู่แข่งเสมอ”
👁 ถ้าเราหยุดฟังเสียงลูกค้า หรือไม่รู้ว่าเทรนด์โลกกำลังเปลี่ยน…เราจะกลายเป็นอดีต
กรณีศึกษา: Amazon ให้ความสำคัญกับ Customer Obsession มากกว่าการเอาชนะคู่แข่ง Jeff Bezos เคยกล่าวว่า “ลูกค้าของคุณจะไม่เคยพอใจ ดังนั้นจงไม่หยุดพัฒนาเพื่อพวกเขา”
3. 👑 ทุกคนคิดและทำแบบเจ้าของ
องค์กรที่ยั่งยืน = องค์กรที่ไม่ต้องสั่ง แต่คน “ทำด้วยใจเหมือนเป็นของตัวเอง” ทุกคนตัดสินใจได้ในจุดที่ตัวเองรับผิดชอบ เพราะรู้ว่า “ความสำเร็จ” เป็นของส่วนรวม ไม่ใช่แค่หัวหน้า
🚫 ไม่มีคำว่า “ไม่ใช่งานฉัน” หรือ “ใครสั่ง”…มีแต่ว่า “ลูกค้าไม่แฮปปี้ = เราต้องขยับ”
กรณีศึกษา: W.L. Gore (เจ้าของ GORE-TEX) ไม่มีโครงสร้างแบบลำดับชั้นชัดเจน ทุกคนเลือกหัวหน้าเองได้ และตัดสินใจในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานได้เลย
4. 🏃‍♂️ อคติเชิงบวกต่อ “การลงมือทำ”
องค์กรที่ดีคิดก่อนทำ องค์กรที่ชนะ “คิดแค่พอ…แล้วลุยเลย”
💡 Done > Perfect | Learn > Debate | Test > Talk
กรณีศึกษา: Atlassian ปรับระบบ feedback เป็น weekly cadence แทนการรอ retrospective รายไตรมาส ช่วยให้การเรียนรู้และการลงมือแก้ไขเร็วขึ้นหลายเท่า
Winning Culture จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ล้ม แล้วลุกได้เร็ว และจะยกย่องคนที่ “ลุย” มากกว่าคนที่ “พูดสวยแต่ไม่ลงมือ”
5. 🤝 เก่งเดี่ยวไม่พอ ต้องรวมพลังให้เก่งทีม
ความเก่งขององค์กร = พลังรวม ไม่ใช่แค่รวมคนเก่ง แต่ต้องหลอมให้คนเก่ง “เคารพกัน” “เสริมกัน” และ “ผลักดันกัน”
🎯 Feedback ดี = Win ทั้งทีม | Ego จ๋า = Fail ทุกโปรเจกต์
กรณีศึกษา: Pixar ใช้ Braintrust ซึ่งเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยน feedback ระหว่างทีมสร้างภาพยนตร์ โดยไม่มีลำดับชั้น ทุกเสียงมีสิทธิ์เท่ากัน ทำให้คุณภาพของผลงานพัฒนาแบบก้าวกระโดด
6. 🔥 Passion + Energy คือพลังลับ
องค์กรที่ดีจะพูดถึง Balance แต่ทีมที่ชนะจะมีพลังบางอย่างที่ “ขับเคลื่อนจากข้างใน”
⚡️ Passion คือแรงผลักจากใจ | Energy คือแรงส่งถึงคนรอบข้าง
กรณีศึกษา: Fintech อย่าง Affirm แม้ remote-first แต่สร้างทีมผ่าน culture ritual เช่น weekly mission sharing, peer appreciation hour เพื่อเติมพลังใจให้กันเสมอ
Winning Culture ไม่ได้แปลว่าทำงานหนัก…แต่มันคือ “งานที่มีพลัง” เพราะทุกคนรู้ว่าเรากำลังทำไปเพื่ออะไร
7. 🧭 โปร่งใส ยุติธรรม กล้าพูดจริง
องค์กรที่ไม่โปร่งใส จะสร้างคนที่ “อยู่แบบเอาตัวรอด” แต่ไม่กล้าชนะไปด้วยกัน
📢 ความโปร่งใสเริ่มจากผู้นำ และการให้ความจริง แม้จะไม่สวยหรู
กรณีศึกษา: Netflix ใช้ระบบ Feedback 360 องศา ฟีดแบ็กได้ทุกระดับ และระบบ Performance Review แยกจากการกล้าพูดเรื่องจริง เพื่อไม่ให้คนต้องกลัวเสียแต้มเวลาเสนอความเห็น
Winning Culture ต้องเริ่มจาก “ความเชื่อใจ” และ “ระบบที่ยุติธรรม” ทั้งการยอมรับ ฟัง และให้รางวัลกับคนที่พูดสิ่งที่ควรถูกพูด
====
📊 คำถามเช็กตัวเองว่าเรามี DNA ของ Winning Culture ไหม?
* เราทะเยอทะยานพอจะเปลี่ยนเกม…หรือแค่รักษาสถานะ?
* ทีมเรากล้าคิดเอง กล้าตัดสินใจเพื่อสิ่งที่ถูกต้องหรือยัง?
* ใครคือคนที่เติมพลังให้ทีม…เราให้รางวัลเขาแบบที่สมควรหรือเปล่า?
* ระบบให้รางวัล – ลงโทษของเรา…สร้างความไว้ใจหรือแค่ความกลัว?
คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบเดียว…แต่มันคือเข็มทิศ ที่จะบอกเราว่าองค์กรกำลังเดินไปทางไหน
====
📌 Call to Action แด่ผู้นำ?
* ตั้งทีม Culture Task Force ขึ้นมาเลย 1 ทีมเล็กๆ ทดลอง “ลงมือเปลี่ยน” 1 อย่างที่อาจไม่ได้ใช้เงินเยอะ…แต่ใช้ใจเยอะ เช่น เปลี่ยนการให้ Feedback ในทีมให้ตรงไปตรงมาขึ้นใน 30 วัน
* นำ 7 DNA นี้ไปเช็กกับ Leadership Team ว่าเรายังขาดข้อไหน แล้วตั้ง Goal ร่วมกันเพื่อปิดจุดอ่อนนั้นแบบ Actionable
* แชร์บทความนี้ให้เพื่อนร่วมทีม แล้วถามคำถามสั้นๆ “เรายังทำอะไรได้ดีกว่านี้อีกไหม?” แล้วเปิดพื้นที่ให้ฟังจริงจัง
====
🏁 ดังนั้น วัฒนธรรมไม่ใช่ของหรู…แต่มันคืออาวุธ
Winning Culture ไม่ใช่สิ่งที่สร้างได้ในเดือนเดียว แต่ทุกวันคือโอกาสที่จะ “ชนะได้มากขึ้น” ถ้าเรากล้าทำให้ DNA ทั้ง 7 ข้อนี้ “ฝังเข้าไปในวิธีคิด วิธีทำ และวิธีอยู่ร่วมกันของคนในองค์กร”
องค์กรที่ชนะ…ไม่ใช่องค์กรที่คนทำตามคำสั่งเก่ง

แต่คือองค์กรที่ทุกคน “กล้าคิด กล้าทำ กล้าถก และกล้าทวงหาความจริง” ด้วยความไว้ใจกันในทีม และถ้าใครรอให้วิกฤตมาก่อนถึงจะเริ่มสร้าง Winning Culture…อาจสายไปแล้ว
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#WinningCultureDNA
#OrganizationalExcellence
#LeadershipMindset
#CultureBeatsStrategy
โฆษณา