Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Hi Story - ที่นี่มีเรื่องเล่า
•
ติดตาม
23 พ.ค. เวลา 14:33 • นิยาย เรื่องสั้น
GS-EP.10–อพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 Malasana Street
ย่านมาลาซานญ่าเป็นย่านที่ถูกยกให้เป็นจุดที่มีอัตราอาชาญากรรมสูงที่สุดในกรุงมาดริด มีเรื่องเล่า เสียงร่ำลือมากมายถึงความอาถรรพ์ มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นที่ย่านนี้เป็นจำนวน โดยเฉพาะอพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 ที่ไปเชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมที่สยดสยองถึง 5 คดี และหลายคดีก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
ก่อนที่ผมจะเริ่มเล่าเรื่องราวต่อจากนี้ ขอออกตัวก่อนว่าเรื่องราวทั้งหมดมีข้อมูลให้ค้นคว้าน้อยมากครับ ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาสเปนซึ่งผมก็อ่านไม่ออก แต่ได้พยายามแกะเรื่องราวในภาษาอังกฤษและภาษาไทยมาเล่าสู่กันฟัง อยากจะให้ทุกท่านฟังเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะครับ
ประเทศสเปนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจติดอันดับต้นๆมาตลอด ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน เมืองหลวงของสเปนมีชื่อว่า กรุงมาดริด ท่านผู้ฟังลองคิดดูนะครับว่าเมืองหลวงของประเทศที่เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งของยุโรปและของโลก กลับมีเรื่องราวลึกลับ ย่านอาถรรพ์ที่มีอัตราการเสียชีวิตและอาชญากรรมสูงกว่าพื้นที่ทั่วไปของประเทศอย่างน่าประหลาดใจ
ย่านที่ผมกำลังจะเล่าต่อจากนี้ชื่อว่า “แอนโตนิโอ กริลโล มาลาซานญ่า สตรีท” หรือจากนี้จะขอเรียกสั้นๆว่า Malasana Street ครับ แม้จะใช้ชื่อว่าสตรีทแต่จริงๆก็คือย่านที่มีชุมชน มีบ้านเรือน มีผู้อยู่อาศัย ให้ลองนึกภาพถนนสีลม ถนนเยาวราชแบบบ้านเราก็ได้ครับ คำว่าถนนจริงๆจึงไม่ได้หมายความเพียงแค่ถนน แต่หมายรวมถึงย่านชุมชนด้วย
กลับมาที่เรื่องของ มาลาซานญ่า สตรีท ถนนและย่านชุมชนนี้มีอายุเป็นร้อยปีเลยครับ ช่วงปี ค.ศ. 1945 เป็นช่วงที่ประเทศสเปนได้มีการเปิดพรมแดน ทำให้มีชาวฝรั่งเศสอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และย่านนี้ก็คือย่านที่คนต่างบ้านต่างเมืองเลือกที่จะมาอยู่กันนั่นเอง ด้วยอานิสงค์ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เป็นจำนวนมาก ลองนึกถึงบ้านเราได้ครับย่านนี้ก็จะคึกคักไปด้วยการค้าการขายและธุรกิจเนื่องจากมีแรงงานต่างชาติอยู่เยอะ แต่ข้อเสียก็มีครับความเจริญบางครั้งก็ต้องมาพร้อมกับคดีอาชญากรรมอีกหลายคดี
ว่ากันว่าถ้าลองสแกนดูทีละตารางเมตรจะพบว่าแทบทุกตารางเมตรล้วนเคยเกิดเหตุคดีอาชญากรรมทั้งสิ้นเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม คดียาเสพติด และการทำแท้งเถื่อน ต้องบอกว่าในอดีตการทำแท้งในสเปนยังไม่ได้ถูกกฎหมายทำให้มีการเปิดคลินิกทำแท้งเถื่อน มีการนำศพเด็กไปยัดท่อระบายน้ำ ภายหลังมีการขุดพบก็เจอศพเด็กเป็นร้อยเลยครับ
นอกจากย่านนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านที่มีการเสียชีวิตของประชาชนต่อตารางเมตรมากที่สุดในกรุงมาดริดอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว นอกจากนี้ย่านนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องการทุจริตคอรัปชันและการข่มเหงจากกลุ่มผู้มีอำนาจปกครอง ทำให้ย่านนี้ถูกเล่าลือว่าเป็นย่านแห่งอำนาจมืด ย่านอาถรรพ์ ย่านต้องคำสาป ย่านแห่งความตาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยความที่ที่นี่มีคดีเกิดขึ้นมากมาย ถ้าจะให้ผมเล่าถึงความสยดสยองครบทุกคดีอาจจะทำให้คุณผู้ฟังเอียนก่อนได้ครับ พอดีย่านนี้มีอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งเป็นอพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 ความพิสดารของมันก็คือเพียงอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้แห่งเดียวก็เชื่อมโยงกับคดีอาชญากรรมถึง 5 คดี 5 ช่วงเวลา และมีผู้เสียชีวิตมากมาย ผมจะมาไล่เรียง 5 คดีสุดสะเทือนขวัญเหล่านี้ให้ฟังครับ
คดีที่แรกมีชื่อเรียกว่าคดีน้ำกรด เรื่องราวเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1909 หญิงสาวนางหนึ่งครับชื่อว่า Ramona Díaz Castillo วันดีคืนร้ายสามีของเธอมาขอแยกทางเพราะว่าไปพบรักใหม่กับผู้หญิงคนอื่นที่สาวกว่าและก็สวยกว่าเธอ ทีนี้ Romana ก็แค้นสิครับ สืบจนรู้ตัวของสาวคนที่เป็นชู้รักของสามี จากนั้นเธอก็ไปหากรดกำมะถันหรือกรดซัลฟิวริกมาผสมทำเป็นน้ำกรดแล้วก็เอาไปสาดใส่หน้าหญิงสาวคนที่แย่งสามีเธอไป
หญิงสาวที่โดนสาดนี่ก็ถูกสารกัดกร่อนเป็นแผลเหวอะหวะเสียโฉมจนเป็นที่สยดสยองของผู้พบเห็น ด้วยความเก่าของข่าวทำให้ไม่มีข้อมูลนะครับว่าสาดที่ไหน แล้วเหตุการณ์ต่อมาเป็นอย่างไร แต่มีข้อมูลว่า Romana กลายเป็นอัมพาตช่วงวัยประมาณ 50 ปี และน่าจะเสียชีวิตที่อพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 แห่งนี้ด้วยจิตที่ยังอาฆาตอยู่
คดีที่สองมีชื่อว่าคดีเชือดคอครับ ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1915 อยู่ๆมีผู้ชายคนหนึ่งครับกำลังจะเดินผ่านอพาร์ทเม้นหมายเลข 3 แห่งนี้ อยู่ๆครับก็มีบุคคลปริศนาพุ่งเข้ามาหาเขาแล้วก็เอามีดเชือดคอผู้ชายคนนั้นเสียชีวิตอยู่ตรงหน้าประตูอพาร์ทเม้นเลยครับ ซึ่งบุคคลที่กระทำและสาเหตุของการฆาตกรรมก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
คดีที่สามครับห่างจากคดีที่สอง 30 ปี มีชื่อเรียกว่าคดีฆาตกรรมช่างตัดเสื้อ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 1945 เจ้าของอพาร์ทเม้นได้พบศพช่างตัดเสื้อเชิร์ตที่มีชื่อเสียงในย่านนั้นคนหนึ่งครับชื่อ Felipe de la Braña Marcos ในอพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 โดยสภาพศพนั้นนอนอยู่บนเตียง สวมเสื้อแจ็กเก็ตและกางเกงขายาว ที่บริเวณศีรษะเต็มไปด้วยเลือดจนเลอะผนังห้อง มือข้างหนึ่งกำเส้นผมกระจุกหนึ่งไว้ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 5 วัน ตำรวจที่กรุงมาดริดตอนนั้นสันนิษฐานสาเหตุการเสียชีวิตว่าน่าจะมาจากการฆาตกรรมด้วยค้อนหรือกระบอง
ฟังเผิน ๆ เหมือนคดีฆาตกรรมธรรมดาใช่ไหมครับคุณผู้ฟัง แต่เรื่องราวมันพิศวงตรงนี้ครับ ตัวของเฟลิปเป้เนี่ยอยู่ห้องนี้คนเดียว ตอนที่เขาเสียชีวิตเนี่ยประตูถูกปิดตายมาจากด้านนอก ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ มือของศพที่กำเส้นผมกระจุกหนึ่งไว้เนี่ยก็แสดงให้เห็นว่ามีการต่อสู้กับคนร้ายเกิดขึ้น แต่ทว่าภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยครับ เข้าใจว่าสมัยนั้นยังไม่มีการตรวจ DNA ตำรวจเมืองมาดริดก็เลยไม่สามารถจับคนร้านได้
แต่ทว่าหลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปประมาณ 3 ปี ตำรวจก็ได้พบศพผู้เสียชีวิตในห้องนี้อีกคนหนึ่งครับซึ่งศพที่พบอยู่บนเตียง มีร่องรอยการทุกที่ศีรษะจนเลือดเลอะผนังห้อง และภายในมือได้กำเส้นผมไว้กระจุกหนึ่งถ้าคุณผู้ฟังจำได้ ลักษณะการเสียชีวิตของศพนี้ดันไปเหมือนกับการตายของเฟลิปเป้เด๊ะเลยครับ และตำรวจกรุงมาดริดก็ยังไม่สามารถตามหาตัวคนร้ายได้อีกเช่นกัน ทำให้คดีนี้ก็ยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
มาต่อที่คดีที่สี่ครับ มีชื่อว่าคดีวิปริตฆาตกรรมหมู่ เช้าวันที่ 1 พ.ค. 1962 ดูเหมือนจะเป็นเช้าธรรมดาๆวันหนึ่ง แต่ความสยดสยองไม่ธรมดาก็เกิดขึ้นที่อพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 ชั้น 3 ห้อง D เรื่องราวครั้งนี้ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับอาชีพช่างตัดเสื้อครับ โดย “José María Ruiz Martínez” ในวัย 48 ปี ได้ทำการฆ่าภรรยาวัย 40 ปี รวมทั้งลูกสาวและลูกชายวัย 14 12 10 5 และ 2 ปี ทีละคนทีละคน รวมกับภรรยาเป็น 6 ชีวิต วิธีการสังหารก็แตกต่างกันไปครับบางรายใช้ค้อนทุบจนเสียชีวิต บางรายใช้ปืน บางรายโฆเซ่เลือกใช้มีดเป็นอาวุธ
ภายหลังการสังหารครอบครัวตัวเองจนหมดแล้วก็ได้อุ้มศพลูก 3 คน ไปที่ระเบียงห้องครับจากนั้นก็ตะโกนลั่นย่านเลยครับ ใจความที่ตะโกนก็คือ ตัวเขาก็คือโฆเซ่เนี่ยคือฆาตกรครับ โฆเซ่รักพวกเขามาก แต่โฆเซ่ก็เป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งหมด และปิดท้ายด้วยประโยคที่ชวนขนลุกครับก็คือโฆเซ่บอกว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ ตำรวจและชาวบ้านพยายาลตะโกนเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านนอกสักพักก็ไม่เป็นผลครับ ถ้าบ้านเราต้องนิมนต์พระมาต่อใช่ไหมครับ แต่ที่สเปนด้วยความเป็นคริสต์ก็เลยไปนิมนต์บาทหลวงมาช่วยตะโกนเกลี้ยกล่อมจากระเบียงห้องตรงข้ามครับ
เรื่องราวเหมือนจะโฆเซ่จะยอมวางอาวุธและยอมมอบตัวครับ เมื่อบาทหลวงโทรศัพท์ไปพูดคุยกับโฆเซ่และโฆเซ่ก็ได้ขอสารภาพบาปกับบาทหลวง แต่เรื่องราวกลับเลวร้ายขึ้นไปอีกครับ ระหว่างที่บาทหลวงพยาบาลเกลี้ยกล่อมอยู่นั้น โฆเซ่ก็ตะโกนกลับมาในทำนองว่าพระเจ้าไม่เคยเห็นใจตัวเขาและครอบครัวเลยสักนิด ก่อนจะวางสายใส่บาทหลวงและหยิบปืนขึ้นมาจบชีวิตตัวเองเป็นศพสุดท้ายที่ระเบียงห้องแห่งนั้น ท่ามกลางสายตาตำรวจ บาทหลวง และประชาชนสเปนมุงอีกหลายชีวิต
คดีนี้ภายหลังถูกปิดคดีลง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าสาเหตุที่โฆเซ่กระทำการดังกล่าวเนื่องมาจากความเครียดปัญหาการพนันและหนี้สิน และกำลังถูกบังคับให้ย้ายออกจากอพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 แห่งนั้นนั่นเอง จึงเป็นที่มาที่เขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองและครอบครัว จำได้ไหมครับว่าตอนที่อยู่ที่ระเบียงโฆเซ่ตะโกนว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่อยากและไม่ยอมที่จะย้ายออกไปจากอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้นั่นเอง
คดีที่ห้า คดีสยดสยองคดีสุดท้ายที่ผมจะมาเล่าในวันนี้เว้นช่วงห่างจากคดีที่สี่ ไปเพียงแค่ปีกว่า ที่อพาร์ทเม้นหมายเลข 3 แห่งเดิมก็เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เรื่องเกิดที่ชั้น 1 ครับ คดีนี้มีชื่อคดีว่าศพเด็ก เรื่องราวมีอยู่ว่ามีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งนามว่า “Pilar Agustín Jimeno” ได้มีความรักครับกับชายหนุ่มและได้มีความสัมพันธ์กันจนเธอตั้งท้องในวัย 20 ปี
ซึ่งในสมัยนั้นการมีลูกในวัย 20 ปี นี่ไม่ถือว่าเร็วนะครับ แต่สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้ก็คือชายหนุ่มคนนั้นได้ทอดทิ้งเธอไป ด้วยความอับอายหรือด้วยอะไรก็ตาม ฟินล่าได้ตัดสินใจทำคลอดตัวเองในห้องของเธอครับ จากนั้นก็ทำการฆาตกรรมลูกของเธอโดยการจับกดน้ำจนเสียชีวิต จากนั้นก็ทำการห่อศพเด็กด้วยผ้าและซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เวลาผ่านไป 2 วันครับ พี่สาวของเธอได้กลิ่นเหม็นครับก็เลยตามหาที่มาของกลิ่นและก็พบกับห่อผ้านี้เข้า
จะเห็นว่าคดีต่างๆล้วนเชื่อมโยงกับอพาร์ทเม้นหมายเลข 3 ถนนมาลาซานญ่าอย่างน่าประหลาด และหลายคดีก็ยังคงเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับย่านนี้และอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ จึงได้มีเรื่องเล่าลือซุบซิบไปต่างๆนานาว่าสถานที่แห่งนี้ต้องคำสาปหรือวิญญาณตายโหงที่นี่มีการหาตัวตายตัวแทนของตัวเอง
ภายหลังเรื่องราวของอพาร์ทเม้นท์หมายเลข 3 ถูกนำไปดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์ชื่อ 32 Malasana street โดยเปลี่ยนเลขอพาร์ทเม้นทจาก 3 เป็น 32 ซึ่งหมายเลข 32 นี้ไม่ได้มีอยู่จริงครับ เพราะถนนสายนี้บ้านหลังสุดท้ายเป็นเลขที่ 30 นั่นเอง
ปัจจุบันนี้อพาร์ทเม้นหมายเลข 3 ก็ยังคงอยู่นะครับ และถนน Malasana ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่หนึ่งในกรุงมาดริด ประเทศสเปน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวเล้นลับ ถึงขนาดที่การจัดโปรแกรมทัวร์ดูผีในสเปนต้องแวะมาที่นี่เลยนะครับ
#malasanastreet #malasana #มาลาซานญ่า #ประวัติ #history #ที่นี่มีเรื่องเล่า #ประวัติศาสตร์ #gstory
เรื่องเล่า
ประวัติศาสตร์
เรื่องผี
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย