24 พ.ค. เวลา 03:39 • ข่าวรอบโลก

เดนมาร์กยกระดับอายุเกษียณสู่ 70 ปี: โมเดลใหม่ของรัฐสวัสดิการในยุคสูงวัย

👴👵ช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากร เดนมาร์กกลายเป็นประเทศแรกในยุโรปที่ประกาศยกระดับอายุเกษียณอย่างเป็นทางการสู่ 70 ปีภายในปี 2040 การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการปรับโครงสร้างระบบบำนาญ หากแต่สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความยั่งยืนทางการเงินของรัฐสวัสดิการ ท่ามกลางกระแสความกังวลของแรงงานและการถกเถียงเรื่องความเป็นธรรมในสังคม
👛💵ระบบบำนาญในเดนมาร์กมีรากฐานมาจากข้อตกลงในปี 2006 ที่เชื่อมโยงอายุเกษียณกับอายุขัยเฉลี่ยของประชากร ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยอัตโนมัติเมื่อประชาชนมีอายุยืนยาวขึ้น ปัจจุบัน รัฐบาลเดนมาร์กเห็นว่าการเลื่อนอายุเกษียณเป็น 70 ปีเป็นทางเลือกที่จำเป็น เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงวัย และลดภาระงบประมาณของรัฐในระยะยาว
🪙แม้การปฏิรูปจะมีเหตุผลทางเศรษฐกิจ สหภาพแรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะ “3F” ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานใหญ่สุดของประเทศ ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย โดยระบุว่าสำหรับกลุ่มแรงงานในภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม และอาชีพใช้แรงงานอื่น ๆ การทำงานถึง 70 ปีเป็นไปได้ยากทั้งทางร่างกายและจิตใจ
📝🧐มุมมองรัฐบาล: ก้าวสุดท้ายของระบบเก่า
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการจ้างงานของเดนมาร์ก Ane Halsboe-Jørgensen ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นการปรับอายุเกษียณครั้งสุดท้ายภายใต้กรอบระบบบำนาญปัจจุบัน พร้อมแนะนำให้ในอนาคตมีการออกแบบระบบใหม่ที่คำนึงถึง “ลักษณะงาน” และ “ระยะเวลาการทำงาน” เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในกลุ่มอาชีพต่าง ๆ
📈😶‍🌫️แนวโน้มระดับโลก: เดนมาร์กไม่ใช่รายเดียว
เดนมาร์กไม่ใช่ประเทศเดียวที่กำลังปรับโครงสร้างการเกษียณ ประเทศฝรั่งเศสเพิ่งเพิ่มอายุเกษียณจาก 62 เป็น 64 ปี ท่ามกลางการประท้วงใหญ่ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ ต่างมีแผนเพิ่มอายุเกษียณเป็น 67 ปีในช่วงไม่เกินปี 2031 ส่วนในสหรัฐอเมริกา อายุเกษียณของระบบประกันสังคมได้ปรับจาก 65 เป็น 67 ปีแล้ว แม้จะยังไม่มีแผนปรับเพิ่มอีกในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
📇บทสรุป: เดนมาร์กในฐานะห้องทดลองรัฐสวัสดิการยุคใหม่
นโยบายใหม่ของเดนมาร์กอาจกลายเป็นต้นแบบของประเทศอื่น ๆ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างประชากรคล้ายกัน คำถามสำคัญคือ สังคมจะสามารถปรับสมดุลระหว่าง “ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ” กับ “ความเป็นธรรมทางสังคม” ได้อย่างไร นี่คือโจทย์ท้าทายที่ไม่ได้จำกัดแค่เดนมาร์ก หากแต่ครอบคลุมถึงอนาคตของระบบรัฐสวัสดิการทั่วโลก
โฆษณา