25 พ.ค. เวลา 05:08 • ความคิดเห็น

ถ้าแก้ปัญหาในใจไม่ได้ ให้แก้ปัญหาในกายก่อน

เมื่อวานนี้ผมอ่านเจอสเตตัสของ Tim Ferriss ที่เขียนเอาไว้เมื่อเดือนเมษายนปี 2024
1
ทิมกล่าวถึงคำแนะนำของ Tony Robbins ว่า เวลาที่พลังงานของเราตก เราจะมองเห็นแต่ปัญหา และมองไม่เห็นทางออก
1
เช่นถ้าเมื่อคืนนี้พักผ่อนไม่เพียงพอ และมีโจทย์ให้ต้องแก้ เราพยายามจะขบคิดอยู่นานก็ยังไม่พบหนทางแก้ไข จึงจบลงด้วยการรู้สึกแย่กับตัวเองยิ่งกว่าเดิม
2
วิธีแก้คือเราต้องจัดการพลังงานในตัวเราให้ได้เสียก่อน เช่นวิดพื้นซัก 10 ครั้ง หรือออกไปเดินเล่นรับแสงแดดยามเช้า
 
บางทีสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปถ้าเราได้นอนมากกว่านี้อีกสัก 1 ชั่วโมง หรือได้อาบน้ำเย็นๆ ให้ร่างกายสดชื่น หรือได้กินข้าวเช้าให้มีเรี่ยวมีแรง
พูดถึงการกินข้าว ก็ทำให้ผมนึกถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากปี 2011
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Ben-Gurion ในอิสราเอล และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ทำการวิเคราะห์การตัดสินคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว (parole) ของผู้ต้องขังในอิสราเอลจำนวนกว่า 1,000 ราย โดยดูจากช่วงเวลาที่คำร้องถูกพิจารณาในแต่ละวัน แล้วนักวิจัยก็พบแพทเทิร์นที่น่าสนใจ
ช่วงเช้า โอกาสที่ผู้พิพากษาจะอนุมัติคำร้องขอปล่อยตัวอยู่ที่ประมาณ 65%
พอเข้าใกล้ช่วงพักเที่ยง โอกาสปล่อยตัวลดลงจนเหลือเกือบ 0%
หลังพักเที่ยง โอกาสกลับขึ้นมาอีกครั้งที่ประมาณ 65%
แล้วพอช่วงบ่ายแก่ๆ โอกาสในการปล่อยตัวลดลงจนเหลือเกือบ 0% อีกครั้ง
นักวิจัยพยายามพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่นความรุนแรงของอาชญากรรม เพศหรือเชื้อชาติของนักโทษ หรือแม้กระทั่งอคติส่วนตัวของผู้พิพากษา แต่พวกเขาไม่พบหลักฐานว่าปัจจัยเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับโอกาสในการพิจารณาที่เป็นคุณกับนักโทษ
นักวิจัยเลยสรุปว่า เหตุผลที่นักโทษมักไม่ได้รับการปล่อยตัว หากคิวการพิจารณาของนักโทษคนนั้นอยู่ในช่วงใกล้เที่ยงหรือช่วงเย็น ก็เพราะว่าผู้พิพากษา "หิว" นั่นเอง จนเกิดชื่อเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Hungry Judge Effect
การตัดสินใจปล่อยตัวชั่วคราวนั้นเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ต้องใช้พลังความคิดสูง เมื่อท้องหิว สมองก็ตื้อ คิดอะไรได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นวิธีที่เซฟที่สุดสำหรับผู้พิพากษาก็คือการคงสถานะเดิมเอาไว้ นั่นคือการไม่ปล่อยตัวนักโทษนั่นเอง
ถ้าผู้พิพากษาผู้ทรงคุณวุฒิและเต็มเปี่ยมไปด้วยหลักการยังสามารถถูกความหิวชักจูงได้ขนาดนี้ คิดว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราจะโดนความรู้สึกในร่างกายชักจูงได้ขนาดไหน
------
ผมเคยไปเข้าคอร์สวิปัสสนาของอาจารย์โกเอ็นก้าเมื่อช่วงสิบกว่าปีที่แล้ว หนึ่งในบทเรียนสำคัญก็คือความรู้สึกทางกายที่เรียกว่าเวทนา (อ่านว่า เว ทะ นา) นั้นจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกทางใจเสมอ
1
เช่นถ้าเราโมโห ใจเราจะเต้นแรงขึ้น หน้าเราจะร้อนๆ หรือที่คนไทยเรียกว่าหัวร้อน
ถ้าเราเครียด ตัวเราจะรู้สึกตื้อๆ และท้องไส้ไม่ค่อยปกติ
ถ้าเรากำลังกลัวหรือวิตกกังวล มือเท้าจะเย็นและมีเหงื่อออกตามฝ่ามือ
อาจารย์โกเอนก้าเลยสอนให้เราดูความรู้สึกตามร่างกาย ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นถึงความกระเพื่อมของจิตใจได้ง่ายขึ้น
-----
นาฬิกาออกกำลังกายที่ผมใส่วิ่งจะมีโหมด emergency contact โดยมันจะจับสัญญาณชีพต่างๆ เช่นอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อจะดูว่าตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินและต้องรีบติดต่อไปหาใครเพื่อให้รีบมาดูเรารึเปล่า
ผมใส่นาฬิกานี้วิ่งจบฮาล์ฟมาราธอนที่มีทั้งการเร่งความเร็ว การวิ่งขึ้นเนิน แต่นาฬิกาไม่เคยเข้าโหมดฉุกเฉินเลย
มีเพียงสองครั้งที่โหมดฉุกเฉินถูก activate
ครั้งแรกระหว่างขับรถคุยโทรศัพท์ (ทางบลูทูธ) กับภรรยา แล้วผมพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอไม่สบายใจ เลยถกกันเครียด แล้วนาฬิกาผมก็ดังขึ้นมาว่า emergency!
1
อีกครั้งนึงคือตอนวิ่งรอบหมู่บ้านช่วงหลังฝนตก แล้วมีงูตัวหนึ่งเลื้อยข้ามถนน นาฬิกาคงจับสัญญาณได้ว่าหัวใจผมเต้นเร็วขึ้นผิดปกติ ก็เลยร้องเตือนเหมือนกัน
ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ส่งผลกับความเปลี่ยนแปลงทางกายได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง
-----
เมื่อเราเห็นความเชื่อมโยงกันของกายกับใจ ก็จะทำให้เรามีเครื่องมือในการรับมือกับความเครียดและปัญหาที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
1
ถ้าเราทำงานแล้วรู้สึกตัน หรือจิตใจว้าวุ่นกระวนกระวาย การดึงดันที่จะใช้พลังใจบุกตะลุยต่ออาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
ทางเลือกที่ตรงข้ามกับสัญชาตญาณแต่น่าจะได้ผลมากกว่า คือการ "ปล่อยจอย" ชั่วคราว แล้วไปทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ร่างกายของเราดีขึ้น เช่นนอนหลับสักงีบ เอาน้ำเย็นลูบหน้าลูบหัว ออกไปเดินเล่น ทำแพลงค์ หาอะไรอร่อยๆ กิน ฯลฯ
เมื่อท้องอิ่ม หรือเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหวและปรับอุณหภูมิ ความรู้สึกทางกายที่ผ่อนคลายย่อมส่งผลไปถึงจิตใจของเราให้มีความสบาย คล่องแคล่ว ว่องไว และสมควรแก่การงาน
ถ้าแก้ปัญหาในใจไม่ได้ ให้แก้ปัญหาในกายก่อนครับ
โฆษณา