25 พ.ค. เวลา 09:33 • การศึกษา

คนดีที่แท้ทรู เขาดูกันที่ตรงไหน?

หากต้องการตัดสินใครซักคนว่าเป็น “คนดี” เราต้องดูจากอะไร? คำตอบคงมีหลากหลายเพราะแล้วแต่ว่า ใครจะมีนิยามว่า “คนดี” เป็นอย่างไร แต่จะตัดสินได้จริงหรือไม่ว่าเขาคนนั้นเป็นคนดีอย่างแท้จริง เราเห็นว่าใครดีซักคนดี เพราะว่าเขาดีต่อเรา หรือเขามีผลประโยชน์ร่วมกันกับเรา หรือว่าเพราะเขาดีกับทุกๆคน ฯลฯ งั้นลองมาฟังพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “คนดี” ในพระพุทธศาสนานั้น ต้องเป็นกันยังไง
ศาสนาพุทธนั้น “คนดี” คือ คนที่ทำดีและไม่ทำความชั่วทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ซึ่งก็คือผู้ที่มีศีลนั่นเอง การทำผิดศีล=ทำชั่ว และสำหรับปุถุชนทั่วไปก็คือศีล 5 การมีศีลพระท่านว่าคือ คนปกติ แต่เดี๋ยวนี้มองว่าคนมีศีล 5 เป็นคนไม่ปกติ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่มีศีลกันจึงทำให้กฎเกณฑ์ของศีลธรรมมันบิดเบี้ยว และพอคนส่วนใหญ่ไม่มีศีล เลยกลายเป็นว่า คน “ไม่มีศีล” เป็นคนปกติ แต่คน “มีศีล” ไม่ปกติซะอย่างนั้น
คนเราทุกวันนี้เห็นว่าการทำผิดศีลเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ไม่เป็นไร แต่เขาไม่รู้เลยว่าได้สั่งสมกรรมชั่วที่รอสนองเขาได้ทุกเมื่อ ทั้งชาตินี้ ชาติหน้าและชาติต่อๆไป คนไม่มีศีลหรือไม่ได้ตั้งใจรักษา สภาพจิตใจจะอยู่ในโหมด stand by พร้อมจะชั่ว ทำผิดศีลได้เสมอแบบไม่มีอะไรมากั้น ผิดกับคนที่ตั้งใจรักษาศีล ใจจะอยู่ในโหมดระวังไม่ให้ทำผิดคิดชั่ว
เรามักจะเห็นคนชอบพูดกันว่า “ฉันไม่เห็นได้ทำชั่วทำเลวอะไรเลย ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้” ก็เพราะไม่เข้าใจว่าการทำผิดศีล 5 นั่นแหละคือการทำชั่ว ไม่ได้ทำชั่วมากแต่ทำบ่อยๆ ทำทุกวัน ทำเป็นประจำจนเคยชิน เป็นอาจิณกรรม สิ่งนี้ถ้าพูดภาษาโค้ชทางการเงินก็คือ “พลังแห่งการสั่งสม” การสะสมเงิน เก็บเล็กผสมน้อยผ่านเวลาไปเนิ่นนาน เราก็จะได้เงินทองทรัพย์สินที่งอกเงยเป็นกอบเป็นกำขึ้นมา
แต่พอเอามาใช้กับกรรมชั่ว มันฟังแล้วชวนทำให้ขนหัวลุก การทำชั่วเล็กน้อยนั้นมันไม่น่ากลัวเลยค่ะ ถ้าพูดกันแล้วสำหรับปุถุชนทั่วไป การทำชั่วร้ายแรงคงไม่คิดจะทำกัน และไม่มีใครอยากทำบ่อยๆแน่ เพราะมีความกลัวต่อผลที่ตามมา แม้ไม่เชื่อเรื่องกรรมก็ตาม แต่สำหรับความผิดเล็กๆน้อยๆ คนทั่วไปมักไม่เห็นความสำคัญ คิดว่าเป็นความชั่วที่ยอมรับได้ แต่ลืมไปว่าการทำชั่วในระดับที่ยอมรับได้ ≠ ไม่ชั่ว และการเห็นผิดในลักษณะนี้อันตรายอย่างยิ่ง
การทำผิดศีลเล็กๆน้อยๆโดยตัวมันเอง ไม่น่ากลัวเท่ากับการเห็นผิดว่าสิ่งนั้นทำได้ไม่เป็นไร สมมุติว่าคุณทำผิดศีลอย่างเช่นพูดคำหยาบ หรือโกหกเล็กๆน้อยๆ ในตอนแรกคุณอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่กิเลสมันปั่น ทำให้คุณจงใจคิดเข้าข้างตัวเองว่า “เฮ้ย! แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก ทำได้ไม่บาป” ผุดขึ้นมา พอครั้งต่อไป ก็จะทำผิดไปเรื่อยๆ แล้วคิดว่า “ไม่เป็นไรๆ”
ต่อมาคุณจะทำผิดเช่นนี้ โดยแม้แต่คำว่า “ไม่เป็นไร” ก็หายไปจากหัวโดยสมบูรณ์ การจะชะงักหรือรู้สึกตะขิดตะขวงใจหายไปสิ้น ทำผิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดา เป็นเรื่องปกติ นี่คือการเห็นผิดโดยสมบูรณ์ จิตใต้สำนึกมันบันทึกลงไปแล้วว่า สิ่งที่ทำนี้ไม่ได้เป็นการทำชั่ว และฉันไม่ได้ชั่วไม่ได้เลว แต่ที่ไหนได้ ชั่วจนชินแล้วต่างหาก
แล้วเมื่อไหร่ที่คุณมีโอกาส ทำผิดเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย วงจรของการเห็นผิดว่า “ไม่เป็นไร” นี้ก็จะเริ่มขึ้นอีก ฉะนั้นจึงมีโอกาสมาก ที่มันจะเติบโตเป็นความผิดร้ายแรงใหญ่หลวงได้ เริ่มจากการทำผิดเล็กๆน้อยๆนี่แหละ เพราะศีลธรรมในตัวของคุณมันเริ่มบิดเบี้ยว ตั้งแต่ครั้งแรกที่บอกว่า “ไม่เป็นไร” แล้ว
คุณลองคิดดูดีๆนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า การทำผิดศีลคือการทำชั่ว แต่คุณคิดเองเออเองต่างหาก ที่บอกว่ามันไม่เป็นไร กรรมชั่วที่ทำสำเร็จแล้ว มันก็จะสั่งสมไปเรื่อยๆ ในทุกๆครั้งที่คุณทำชั่ว แต่ด้วยศีลธรรมที่บิดเบี้ยวไปแล้ว คุณก็เลยไม่คิดที่จะแก้ไข ทำซ้ำๆและรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆก็ทำกัน
ถ้าฉันชั่วคนอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่า แต่ผลของกรรมชั่วที่ทำสำเร็จแล้วนั้นไม่ได้หนีหายไปไหน เป็นของเจ้าตัวชนิดที่ว่าไม่มีใครขโมย หรือหยิบยืมไปได้เลย และสุดท้ายจะกลับมาสนองแน่นอน เรื่องนี้ต้องเชื่อพี่ติ๊ก ชิโร่เขาค่ะว่า “รอรับได้เลยไม่เคยบิดพริ้ว” หรือจะฟังอีกเสียงสนับสนุนของพี่เบิร์ดก็ได้ว่า “ไม่มีทางหนีได้เลย”
และต้องอย่าลืมว่า เมื่อตายไปทรัพย์สินเงินทองที่คุณมี ไม่มีค่าอะไรเลย แม้แต่เงินปากผีก็เอาไปไม่ได้ เมื่อย้ายภพภูมิเราจะใช้ currency ใหม่ ไม่ใช่ bitcoin ไม่ใช่ crypto แต่เป็น krama currency ใช้บุญ-บาปที่สั่งสมไว้ อย่าได้นึกน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยร่ำเคยรวยอะไรกับเขา ตอนตายนี่แหละ จะรู้ว่ารวยมาก bling bling เลย แกเอ้ย...ยย รวยความชั่ว! มีให้ได้ไปชดใช้กันแบบน้ำตาไหลพราก ต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว ด้วยพลังแห่งการสั่งสม ดั่งที่โค้ชการเงินสอนและรับรองกันทั่วไป
สมัยนี้เรามักได้ยินในข่าวอาชญากรรม เวลามีคนไปสัมภาษณ์ คนที่รู้จักกับผู้ที่กระทำผิดร้ายแรงอย่างเช่น ฆ่าคนตาย หรือการทำร้ายผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยม คนรอบข้างมักจะพูดว่าเขาเป็น “คนดี” ไม่ได้มีอะไรที่แย่มาก จากเท่าที่ได้เห็นได้รู้จักเขามา มันก็น่าคิดนะ เพราะตามรายละเอียดในข่าวมันชวนให้คิดว่า คนๆนี้ดีจริงๆเหรอ? หรือเราแยกไม่ออกแล้วว่าใครดีใครชั่ว หรือเราไม่เคยรู้จัก คนที่เรารู้จักอย่างแท้จริง ว่าเขาเป็นคนยังไง
ในโลกนี้มีคนมากมายที่คิดว่าตัวเองเป็น “คนดี” แต่คนดีที่แท้จริงนั้นหาได้ยากยิ่ง การคิดว่าตัวเองดีแบบไม่ผ่าน QC คือมีศีล เป็นการเห็นผิดอวยตัวเอง หรืออวยพวกเดียวกันเอง เพราะหากคุณไม่มีศีลแล้ว ยากเหลือเกินที่จะพูดได้ว่าเป็น “คนดี” เพราะคนดีต้องดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ธรรมชาติของจิตมนุษย์เป็นเหมือนน้ำ มักไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
ดังนั้นการไม่มีศีลไว้เป็นเครื่องกั้น ทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่พร้อมจะทำชั่วได้ตลอดเวลา สมัยนี้ทำผิดศีล ทำชั่วแท้ๆ ยังคิดว่าตัวเองดี เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ อะไรคือดีอะไรคือชั่ว นี่แหละที่ครูบาอาจารย์ว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นชอบ หลวงพ่อชาท่านเคยกล่าวสอนไว้ว่า “คนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเนี่ยน่าสงสารนะ เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันก็เห็นแต่เป็นดอกบัวอยู่นั่น”
คนดีต้องวัดด้วยศีล ดั่งเช่นคำของท่านพุทธทาสที่กล่าวไว้ว่า “เลิกเรียก คน=มนุษย์ เสียที เพราะคำว่า มนุษย์ แปลว่า บุคคลผู้มีใจสูง เป็นผู้ที่ขัดเกลาสั่งสอนได้” เกิดมาเป็นคน แต่อยู่ไปแล้วจะได้เป็นมนุษย์หรือไม่ ก็ต้องดูก่อน ฉะนั้นคนจึง≠มนุษย์ หรือคำกล่าวที่ว่า “จะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีศีล 5 จึงจะเป็นคนเต็มคน”
เพราะศีล 5 เป็นคุณสมบัติของมนุษย์ คือมนุษยธรรม เป็นมนุษย์ให้ถึงจิตวิญญาณจึงต้องมีศีล การจะมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหรือเปล่า ขึ้นอยู่ที่รักษาศีล 5 ได้ดีแค่ไหน และต้องทำชั่วชีวิต ทำให้ติดเป็นนิสัยด้วย เคยสงสัยไหมว่า ทำไมพญานาคจึงรักษาศีล เพราะปรารถนาจะเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ศีลเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงสมบัติความเป็นมนุษย์ที่แท้จริ'
การรักษาศีล 5 = รักษาจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ มีคำกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ” แต่ถ้าใจของคุณไม่มีความประเสริฐอยู่ มันก็เหมือนกับการทำให้คำว่า ”ประเสริฐ” หายไปจากคำว่า “สัตว์ประเสริฐ” ถ้าไม่มีศีล 5 ความเป็นมนุษย์ของคุณจะเหลือแค่เปลือกนอกที่ตาเห็น แต่จิตใจภายในนั้น ลงอบายไปเป็นอย่างอื่นที่ต่ำกว่าแล้ว
ฉะนั้นจึงมีอยู่มากที่เห็นว่า ข้างนอกเป็นคนแต่ข้างในไม่ใช่คน เหมือนที่คุณเคยได้ยินคำด่าว่า พวกสัตว์นรกมาเกิด ใจสัตว์ ใจเดรัจฉาน ใจต่ำ มนุษย์สเปโตตัวเป็นคนใจเป็นเปรต พวกอสูรกายใจยักษ์ใจมาร ฯลฯ นั่นแหละ ถ้าการกระทำของคุณมัน match กับสิ่งที่อยู่ภายในใจ สิ่งที่คนอื่นพูด ก็เพียงแค่บอกเล่าความจริงไม่ใช่คำด่า
หากคุณอยากได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ก็ควรจะทำให้ข้างนอกและข้างใน match กัน คือการมีศีล 5 เป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆทั่วไปนี่แหละ ไม่ใช่พอเห็นใครเป็นคนดีมีศีลธรรมหน่อย ก็ไล่ให้เขาไปบวช หรือไม่ก็พูดจาประชดประชันว่าโอ๊ย..ดีเป็นเทวดาเลยนะ เพราะตามความจริงหากจะเป็นเทวดาต้องดียิ่งกว่านั้นอีกมากมายนัก
อีกอย่างการที่คุณลงอบายทางใจบ่อยๆในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ เหมือนการลงไปทัวร์ชิม ช็อป แชะ แวะลงอบาย ไปเที่ยวภพภูมิไหนบ่อยมากๆ จะไม่ใช่แค่ Long Stay หรือ Vacay แต่เมื่อถึงเวลาย้ายภพภูมิ คุณจะได้ย้ายไปเป็น resident ในภพภูมินั้นจริงๆ เพราะจิตมีความยินดีพอใจในภพภูมินั้นๆ ได้ไปที่ชอบที่ชอบกันสมใจอยาก
ฉะนั้นพอจะรู้ได้แล้วว่าตายแล้วไปไหน จะไปดีหรือไม่ สำหรับคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนดี” จริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณหมดประสิทธิภาพและสมรรถภาพในการทำชั่ว หากยังไม่เป็นอริยสงฆ์ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ล้วนทำชั่วได้ทั้งนั้น ถ้าเจอกิเลสที่แพ้ทาง ถูกกดดัน บีบคั้นบังคับ หรือขาดสติ ก็ทำชั่วได้พอๆกับคนที่คุณตราหน้าว่าชั่วช้าเลวทราม หรือแม้กระทั่งทำชั่วได้ยิ่งกว่า
นั่นแหละคือความสำคัญว่า ทำไมจึงต้องมีศีล ศีลเป็นเครื่องกั้น เป็นสิ่งระงับ เป็นความยับยั้งชั่งใจ ไม่ให้คุณประพฤติชั่วอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่ควรจะยึดถือเป็นมาตรฐาน ไม่ใช่ใช้ความคิดเอง เออเอง ฉันชอบ ฉันว่าดี ว่าถูก ก็คือถูก ก็คือดี แล้วทีนี้คุณพอจะรู้แล้วหรือยังว่า คนดีที่แท้ทรูเขาดูกันที่ตรงไหน?
อ้างอิงข้อมูล
มนุษย์ 5 จำพวก
{ที่มาเว็บไซต์ https://www.blockdit.com/posts/5f4af7065e18380cbc9aa82c}
1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้ายหยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่น ทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรม คือ ศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่ามนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สัตว์นรก คือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจ นั้นเลวทรามดุร้าย หยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น
2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อย โลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนแย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้นพวกที่เที่ยวขอทานก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย
3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ที่ขวางศีลขวางธรรม มีโมหะ คือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น
เป็นมนุษย์ผู้ไร้ศีลธรรม ดื่มสุรา เสพยาบ้า กินกัญชา ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางผิดทำนองคลองธรรม นามว่ามนุสสติรัจฉาโน แปลว่า มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัว เหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ
4. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่ คนรักษาศีล 5 มั่น เป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีล เพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้คนเป็นคน มนุสสภูโต แปลว่า มนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคน คือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนขาดหัวนั่นเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน
5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่ มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริ คือความละอายต่อบาป มีโอตัปปะ คือความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาป อยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา
เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการ คือ -บำรุงเลี้ยงดูมารดาบิดา -ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญ -พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล -ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น -ละความตระหนี่เหนียวแน่น -รักษาคำสัตย์ -ไม่โกรธ มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา
ขอบคุณภาพจาก
โฆษณา