Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
27 พ.ค. เวลา 04:51 • ประวัติศาสตร์
ชาวอังกฤษเมื่อ 5,000 ปีก่อนไม่ได้มีผิวสีขาว
ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์จีโนมของชาวยูเรเชียโบราณจำนวน 348 ตัวอย่าง ครอบคลุมช่วงเวลา 45,000 ปี ตั้งแต่ยุคหินเก่าที่การดำรงชีพยังเป็นแบบล่าสัตว์–เก็บของป่า จนถึงยุคเกษตรกรรมในยุคสัมฤทธิ์
และนักวิทยาศาสตร์ ยังได้นำเทคนิคการจัดลำดับพันธุกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการฟื้นฟูและศึกษายีนส์ที่เกี่ยวข้องกับเม็ดสีผิว ซึ่งช่วยทำให้ทราบถึงพัฒนาการของสีผิวตลอดระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมาในยุโรป
และงานวิจัย ยังแสดงหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผิวสีเข้มคือลักษณะผิวของประชากรยุโรปจำนวนมากเมื่อก่อน 3,000 ปี โดยที่ลักษณะของผิวขาวหรือผิวสว่าง จะค่อย ๆ แพร่กระจายออกไปภายหลัง เนื่องมาจากการกลายพันธุ์ของยีนส์และการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
หากย้อนกลับไป จะพบว่าผู้สร้าง “สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)” ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานยุคก่อนประวัติศาสตร์กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บรีในอังกฤษเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล มีแนวโน้มสูงว่าเหล่าคนงานก่อสร้างนี้จะเป็นผู้ที่มีผิวสีเข้ม โดยอิงจากหลักฐานทางพันธุกรรมจากแหล่งฝังศพใกล้เคียง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงเวลานั้น ผิวสีเข้มน่าจะเป็นสีผิวที่พบได้มากกว่าผิวสีอ่อน
สโตนเฮนจ์ (Stonehenge)
ชาวกรีกและโรมันโบราณซึ่งมักถูกนำเสนอว่ามีผิวขาวในสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เคยมีผิวสีเข้มจนกระทั่งประมาณ 1,700 ปีก่อน
เมื่อมนุษย์อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังทางตอนเหนือ ก็ส่งผลให้สีผิวค่อยๆ มีการวิวัฒนาการ ผิวที่เคยเข้มก็ค่อยๆ สว่างขึ้น ขาวขึ้นเนื่องจากแสงแดดที่ลดลงในพื้นที่เหล่านั้น ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อสังเคราะห์วิตามินดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มนุษย์ยังใช้เวลานานในการพัฒนาสีผิวให้ขาวขึ้น เนื่องจากอาหารการกิน เช่น การบริโภคเนื้อปลา เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนมในเวลาต่อมา ก็ช่วยให้ร่างกายสามารถได้รับวิตามินดีจากแหล่งอื่นโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแสงแดดเพียงอย่างเดียว
2
และงานวิจัยในปัจจุบัน ยังได้หักล้างสมมติฐานก่อนหน้าที่เชื่อว่า ชาวยุโรปมีพัฒนาการของสีผิวอย่างรวดเร็ว หลังจากมีการอพยพเข้าสู่พื้นที่ที่มีแสงแดดน้อยในยุโรป โดยพบว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสีผิวนั้นเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
สำหรับเรื่องอาหารการกินนั้น เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานในยุโรปเมื่อประมาณ 7,000 ปีก่อน ชาวนาในยุโรปยุคแรกเริ่มก็ทำการเพาะปลูกธัญพืชที่ไม่มีวิตามินดี
อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อสัตว์และนมวัว ก็ช่วยให้ชาวยุโรปโบราณยังสามารถชะลอการลดเม็ดสีผิว (depigmentation) ออกไปได้ เนื่องจากยังสามารถได้รับวิตามินดีจากแหล่งอาหารอื่นแทนแสงแดด
ยังมีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า ชุมชนเกษตรกรรมในยุคแรกยังคงมีระบบป้องกันทางโภชนาการที่เพียงพอ ชาวนาในยุโรปยุคต้น ไม่ได้จำเป็นต้องมีผิวสีอ่อนเพื่อป้องกันรังสียูวี เนื่องจากอาหารที่บริโภค ก็มีปริมาณวิตามินดีเพียงพออยู่แล้ว
สำหรับตะวันออกกลาง พบว่ามีการกลายพันธุ์ของยีนส์ที่ทำให้ผิวสีอ่อนหรือผิวขาวขึ้น เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 8,000 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมนี้ต้องใช้เวลาหลายพันปีจึงจะมีการแพร่กระจาย และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในยุคหลัง
การแพร่กระจายของยีนส์ที่ทำให้ผิวสีขาว ได้เกิดขึ้นอย่างช้าๆเนื่องจากประชากรในยุโรปตอนเหนือมีจำนวนค่อนข้างน้อยในช่วงแรก
สำหรับผู้สร้างสโตนเฮนจ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคหินใหม่สู่ยุคสัมฤทธิ์ เป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในบริเตนใหญ่ ซึ่งจากงานวิจัยทางวัฒนธรรมและพันธุกรรม พบว่าชุมชนในยุคหินใหม่ของบริเตนใหญ่ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและพันธุกรรมเป็นอย่างมาก
ผู้สร้างสโตนเฮนจ์ น่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีผิวสีเข้มเป็นส่วนใหญ่ และมีการผสมผสานทางพันธุกรรมจากลุ่มคนเก็บของป่า-ล่าสัตว์ในยุคก่อนหน้า และกลุ่มเกษตรกรที่เพิ่งเกิดใหม่ ทำให้สังคมในบริเตนใหญ่ยุคนั้นมีความซับซ้อนและหลากหลายทั้งด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
จากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอมนุษย์ในยุคหินใหม่ของบริเตน แสดงให้เห็นว่า ประชากรในช่วงเวลานั้นมีพัฒนาการมาจากชาวนาในแถบอานาโตเลีย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของตุรกีปัจจุบัน และคนเก็บของป่า-ล่าสัตว์ในยุโรปตะวันตก กลายเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรม โดยส่วนใหญ่มีผิวและผมสีเข้ม
งานวิจัยเหล่านี้ได้แสดงถึงประวัติศาสตร์ของอังกฤษและประวัติศาสตร์ประชากรของทั้งยุโรปขึ้นมาใหม่ โดยในเวลาต่อมา มีการพบโครงกระดูกที่สมบูรณ์ที่สุดในเมืองซัมเมอร์เซต ประเทศอังกฤษ นั่นคือ “เชดดาร์แมน (Cheddar Man)” ซึ่งมีความเก่าแก่ตั้งแต่ 7100 ปีก่อนคริสตกาล และแสดงให้เห็นว่ามีผิวสีเข้มและดวงตาสีฟ้า ซึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกแล้ว
มัมมี่โบราณอย่าง “เอิตซี (Ötzi)“ ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 3300 ปีก่อนคริสตกาล ก็พบว่ามีผิวสีเข้มและไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ ซึ่งเป็นหลักฐานที่หักล้างความเชื่อที่แพร่หลายว่าชาวยุโรปในยุคก่อนประวัติศาสตร์มีผิวสีอ่อนและบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเป็นปกติ
เชดดาร์แมน (Cheddar Man)
ชาวไมนวนและไมซีเนียนจากยุคสัมฤทธิ์ของกรีกโบราณ ก็มีพันธุกรรมที่บ่งชี้ว่าพวกเขามีผิวสีเข้มและผมสีเข้ม แม้ว่าภาพลักษณ์ตามแบบฉบับของฮอลลีวูดในภาพยนตร์ย้อนยุคหลายๆ เรื่อง มักจะแสดงภาพว่าพวกเขามีผิวขาวก็ตาม
อันที่จริง ภาพลักษณ์ว่าชาวยุโรปมีผิวขาวนั้น เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานมานี้ ในขณะที่ภาพลักษณ์ว่าชาวยุโรปมักมีดวงตาสีฟ้า ก็ปรากฎขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน แต่ความสามารถในการย่อยแลคโตสเพิ่งเริ่มแพร่กระจายทางพันธุกรรมหลังจากนั้นประมาณ 4,000 ปี
บันทึกประวัติศาสตร์โบราณของชาวโรมัน ได้แสดงให้เห็นว่ามีชาวเคลต์และชาวกอลบางกลุ่มที่มีผิวสีเข้ม โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ย้ำว่าเรื่องของ “เชื้อชาติ” เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน และงานวิจัยดีเอ็นเอจากยุคโบราณก็แสดงให้เห็นว่า ยุโรปเป็นทวีปที่มีประชากรหลากหลายมาตั้งแต่แรกเริ่ม
เอิตซี (Ötzi)
การศึกษานี้ได้ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่นักวิจัย อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ตัวอย่างพันธุกรรมก็ต้องพบกับคำวิจารณ์และความไม่เชื่อถือ เนื่องจากดีเอ็นเอส่วนใหญ่ที่ใช้ในการศึกษามาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลและยุโรปตอนกลาง ซึ่งอาจจะขาดข้อมูลทางพันธุกรรมจากภูมิภาคอื่นๆ ที่มีความหลากหลายและมีความแตกต่าง
และการศึกษานี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าลักษณะทางพันธุกรรมของบรรพบุรุษของเรา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม
นี่ก็อาจจะเป็นการศึกษาที่บ่งบอกว่าภาพลักษณ์ที่เราเข้าใจในประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน ความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น
References:
https://medium.com/bouncin-and-behavin-academy/britons-were-black-5-000-years-ago-b0bccd68294e
https://www.dailymail.co.uk/news/article-14454011/Britons-black-study-stonehenge.html
https://www.theguardian.com/science/2018/feb/07/first-modern-britons-dark-black-skin-cheddar-man-dna-analysis-reveals
https://www.independent.co.uk/news/uk/home-news/ancient-britons-stonehenge-dark-skin-study-b2708600.html#
ประวัติศาสตร์
3 บันทึก
15
1
1
3
15
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย