27 พ.ค. เวลา 10:12 • ประวัติศาสตร์

ตำนานเทพีแห่งพระอาทิตย์ของญี่ปุ่น

ตำนานเทพีแห่งพระอาทิตย์ของญี่ปุ่นคือ อามาเทราสุ โอมิคามิ (Amaterasu Ōmikami) ซึ่งเป็นเทพีหลักในศาสนาชินโตและถือเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์และจักรวาล
กำเนิด: อามาเทราสุเกิดจากเทพ อิซานากิ (Izanagi) ขณะที่เขาชำระล้างร่างกายหลังจากกลับมาจากยมโลก (Yomi) เธอเกิดจากตาซ้ายของอิซานากิ ส่วนพี่น้องของเธอคือ ทสึคุโยมิ (เทพแห่งดวงจันทร์) และ ซูซาโนโอะ (เทพแห่งพายุ)
บทบาท: อามาเทราสุเป็นผู้ปกครอง ทาคามากาฮาระ (สวรรค์ชินโต) และเป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง ความอบอุ่น และความเจริญรุ่งเรือง เธอยังเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์ญี่ปุ่นตามความเชื่อชินโต
ตำนานถ้ำสวรรค์ (Ama-no-Iwato):
ซูซาโนโอะ น้องชายของอามาเทราสุ สร้างความวุ่นวายและทำร้ายบริวารของเธอ ทำให้อามาเทราสุโกรธและซ่อนตัวในถ้ำสวรรค์ (Ama-no-Iwato)
เมื่อเธอซ่อนตัว โลกตกอยู่ในความมืดและความโกลาหล
เหล่าเทพจึงร่วมมือหลอกล่อให้เธอออกมา โดยจัดงานเฉลิมฉลองและให้เทพี อูซูเมะ (Uzume) เต้นรำอย่างสนุกสนาน อามาเทราสุสงสัยและแง้มถ้ำมอง ทำให้เทพอื่นๆ ดึงเธอออกมา และแสงสว่างกลับคืนสู่โลก
มรดก: อามาเทราสุมอบ เครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้น (กระจก ดาบ และมณี) แก่หลานของเธอ นินิกิ โน มิโคโตะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิญี่ปุ่น เครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้ยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของราชวงศ์ญี่ปุ่น
ความสำคัญ: อามาเทราสุได้รับการบูชาที่ ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในชินโต
เธอเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเจริญ และความเป็นชาติญี่ปุ่น
ตำนานเครื่องราชกกุธภัณฑ์
ตำนานเครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้นของญี่ปุ่น (Sanshu no Jingi) เป็นส่วนสำคัญในศาสนาชินโตและประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่น เครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้ประกอบด้วย กระจก (Yata no Kagami), ดาบ (Kusanagi no Tsurugi), และ มณี (Yasakani no Magatama) ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทพี อามาเทราสุ โอมิคามิ และเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและความชอบธรรมของจักรพรรดิญี่ปุ่น
ตำนานเครื่องราชกกุธภัณฑ์
กำเนิดและการมอบให้
ตามตำนานใน โคจิกิ (Kojiki) และ นิฮงโชกิ (Nihon Shoki) อามาเทราสุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ มอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้นนี้ให้แก่หลานของเธอ นินิกิ โน มิโคโตะ เมื่อเขาถูกส่งลงมาปกครองโลก (แผ่นดินญี่ปุ่น)
นินิกิเป็นบรรพบุรุษของจักรพรรดิญี่ปุ่น โดยเฉพาะจักรพรรดิจิมมุ (Jimmu) ซึ่งถือเป็นจักรพรรดิองค์แรก
อามาเทราสุสั่งให้นินิกิใช้เครื่องราชกกุธภัณฑ์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกครองที่ชอบธรรมและการสืบทอดสายเลือดอันศักดิ์สิทธิ์
เครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้น
1. กระจกศักดิ์สิทธิ์ (Yata no Kagami)
เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา และ ความจริง
ในตำนานถ้ำสวรรค์ (Ama-no-Iwato) กระจกถูกใช้เพื่อล่ออามาเทราสุออกจากถ้ำ โดยแขวนไว้หน้าถ้ำเพื่อสะท้อนแสงและดึงดูดความสนใจของเธอ
ปัจจุบันเชื่อว่าประดิษฐานอยู่ที่ ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine) ในจังหวัดมิเอะ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาอามาเทราสุ
2. ดาบศักดิ์สิทธิ์ (Kusanagi no Tsurugi)
เป็นสัญลักษณ์ของ ความกล้าหาญ และ อำนาจ
เดิมชื่อ Ame-no-Murakumo-no-Tsurugi (ดาบแห่งเมฆสวรรค์) ได้มาจาก ซูซาโนโอะ น้องชายของอามาเทราสุ ซึ่งพบดาบนี้ในหางของมังกรแปดหัว ยามาตะ โน โอโรจิ หลังจากสังหารมัน
ซูซาโนโอะมอบดาบนี้ให้อามาเทราสุเพื่อเป็นการขอโทษ และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์
ปัจจุบันเชื่อว่าประดิษฐานอยู่ที่ ศาลเจ้าอัตสึตะ (Atsuta Shrine) ในจังหวัดไอจิ
3. มณีศักดิ์สิทธิ์ (Yasakani no Magatama)
เป็นสัญลักษณ์ของ ความเมตตา และ ความเจริญรุ่งเรือง
มณีนี้เป็นลูกปัดรูปโค้งที่ทำจากหยกหรือหินมีค่า ปรากฏในตำนานว่าเป็นหนึ่งในของขวัญที่อามาเทราสุมอบให้แก่นินิกิ
ปัจจุบันเชื่อว่าประดิษฐานอยู่ที่ พระราชวังอิมพีเรียล ในกรุงโตเกียว
บทบาทในประวัติศาสตร์และพิธีกรรม
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสามชิ้นถูกใช้ในพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดิญี่ปุ่น เพื่อแสดงถึงความชอบธรรมและการสืบทอดจากเทพเจ้า
วัตถุเหล่านี้ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์และไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยเก็บรักษาในสถานที่ลับและปกป้องอย่างเข้มงวด
ในบางครั้ง มีการใช้สำเนาของเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพิธีกรรมแทนของจริงเพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์
ตำนานที่เกี่ยวข้อง
ดาบคุซานางิและยามาโตะ ทาเครุ: ในตำนาน ดาบคุซานางิถูกมอบให้แก่ ยามาโตะ ทาเครุ วีรบุรุษในตำนาน เขาใช้ดาบนี้ตัดหญ้าเพื่อหนีจากไฟป่า จึงได้ชื่อว่า "คุซานางิ" (ดาบตัดหญ้า)
การสูญหายและการค้นพบ: มีเรื่องเล่าว่าดาบคุซานางิเคยจมลงในทะเลระหว่างสงครามเก็นเป (Genpei War) แต่ต่อมาถูกกู้คืน ซึ่งอาจเป็นเพียงตำนานที่เพิ่มความลึกลับให้ดาบ
ความสำคัญ: เครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้นเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และความต่อเนื่องของราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ในทางวัฒนธรรม แสดงถึงค่านิยมของชินโต เช่น ความจริง ความกล้าหาญ และความเมตตา
แม้จะไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีที่ยืนยันการมีอยู่ของวัตถุเหล่านี้ แต่ความเชื่อและตำนานยังคงมีบทบาทสำคัญในจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของชาติญี่ปุ่น
รายละเอียดศาลเจ้าอิเสะ
ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine หรือ Ise Jingū) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดในศาสนาชินโตของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น ศาลเจ้านี้เป็นสถานที่บูชา อามาเทราสุ โอมิคามิ เทพีแห่งดวงอาทิตย์และบรรพบุรุษของราชวงศ์ญี่ปุ่น และยังเป็นที่ประดิษฐานของ กระจกศักดิ์สิทธิ์ (Yata no Kagami) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์สามชิ้น
รายละเอียดเกี่ยวกับศาลเจ้าอิเสะ
1. โครงสร้างและการแบ่งส่วน
ศาลเจ้าอิเสะประกอบด้วยศาลเจ้าหลักสองแห่งและศาลเจ้าย่อยอีกกว่า 125 แห่งในบริเวณเดียวกัน
ศาลเจ้าชั้นใน (Naikū หรือ Kōtai Jingū):
อุทิศให้กับ อามาเทราสุ โอมิคามิ
เป็นสถานที่ประดิษฐานกระจกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวแทนของเทพี
ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำอิโซซุ (Isuzugawa) ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์และใช้ในพิธีชำระล้าง
เป็นจุดหมายหลักสำหรับผู้มาแสวงบุญ
ศาลเจ้าชั้นนอก (Gekū หรือ Toyouke Daijingū):
อุทิศให้กับ โทโยอุเกะ โน โอมิคามิ เทพีแห่งอาหาร การเกษตร และความอุดมสมบูรณ์
มีบทบาทในการถวายอาหารให้แก่อามาเทราสุ
ตั้งอยู่ห่างจาก Naikū ประมาณ 6 กิโลเมตร
ศาลเจ้าย่อย
รวมถึงศาลเจ้าที่อุทิศให้เทพเจ้าอื่น ๆ เช่น เทพแห่งลม น้ำ หรือการปกป้อง
ศาลเจ้าเหล่านี้สนับสนุนการทำงานของศาลเจ้าหลัก
2. พิธีชิคุเน็น โซไค (Shikinen Sengū)
ทุก 20 ปี ศาลเจ้าอิเสะจะมีการ รื้อและสร้างใหม่ ทั้ง Naikū และ Gekū รวมถึงสะพานและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ในพิธีที่เรียกว่า ชิคุเน็น โซไค
การสร้างใหม่นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ (ครั้งแรกในปี ค.ศ. 690) เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้า
กระบวนการนี้รวมถึงการย้ายสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ (เช่น กระจก) ไปยังอาคารใหม่
การสร้างใหม่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2013 และครั้งต่อไปจะเป็นในปี 2033
พิธีนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อชินโตในเรื่องการหมุนเวียนและการเริ่มต้นใหม่
3. สถาปัตยกรรม
ศาลเจ้าอิเสะสร้างในสไตล์ ชินเม โซคุริ (Shinmei-zukuri) ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมชินโตที่เก่าแก่และเรียบง่าย
ลักษณะเด่น
ใช้ไม้ที่ไม่ทาสีและมุงด้วยหลังคาหญ้าคา
เสายกพื้นสูงเพื่อป้องกันความชื้น
การออกแบบสะท้อนความบริสุทธิ์และความกลมกลืนกับธรรมชาติ
บริเวณศาลเจ้ารายล้อมด้วยป่าไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งให้ไม้สำหรับการสร้างใหม่ทุก 20 ปี
4. ความสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนา
ศาลเจ้าอิเสะ ถือเป็นศูนย์กลางจิตวิญญาณของชินโตและเป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องของราชวงศ์ญี่ปุ่น
กระจกศักดิ์สิทธิ์ใน Naikū เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่แสดงถึงความชอบธรรมของจักรพรรดิ
ศาลเจ้ามีความสำคัญในฐานะสถานที่แสวงบุญ โดยเฉพาะสำหรับชาวญี่ปุ่นที่ต้องการแสดงความเคารพต่ออามาเทราสุและเทพเจ้าอื่น ๆ
จักรพรรดิและราชวงศ์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศาลเจ้า โดยในอดีตจักรพรรดิจะส่ง ไซโอ (Saiō) หรือเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ มาปฏิบัติหน้าที่เป็นนักบวชหญิงที่ศาลเจ้า
5. พิธีกรรมและการบูชา
ศาลเจ้าอิเสะมีพิธีกรรมประจำวัน เช่น การถวายอาหารให้เทพเจ้า (เรียกว่า ชินเซ็น) ซึ่งจัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน
เทศกาลสำคัญ เช่น คันนาเมะ-ไซ (Kannamesai) ในเดือนตุลาคม เป็นการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวและถวายพืชผลแรกแก่เทพเจ้า
ผู้มาเยือนต้องปฏิบัติตามกฎ เช่น การชำระล้างร่างกายที่แม่น้ำอิโซซุก่อนเข้าศาลเจ้าชั้นใน และห้ามถ่ายภาพในบริเวณศักดิ์สิทธิ์
6. การเข้าถึงและข้อจำกัด
ศาลเจ้าอิเสะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชม แต่มีข้อจำกัด:
ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าได้ถึงบริเวณรอบนอกเท่านั้น ส่วนห้องศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานกระจกศักดิ์สิทธิ์ใน Naikū เข้าได้เฉพาะนักบวชและบุคคลที่ได้รับอนุญาต
ความลับของสถานที่และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ถูกปกป้องอย่างเข้มงวด
การเดินทางไปศาลเจ้าง่ายด้วยรถไฟจากเมืองใหญ่ เช่น นาโกย่า หรือโอซาก้า
7. ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ
ศาลเจ้าอิเสะมีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น
ป่าไม้รอบศาลเจ้าได้รับการอนุรักษ์อย่างดี และไม้ที่ใช้ในการสร้างใหม่มาจากแหล่งที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ศาลเจ้าได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ความสำคัญในบริบทของเครื่องราชกกุธภัณฑ์
กระจกศักดิ์สิทธิ์ (Yata no Kagami) ซึ่งประดิษฐานใน Naikū เป็นสัญลักษณ์ของอามาเทราสุและความจริง
การที่ศาลเจ้าอิเสะเป็นที่เก็บรักษากระจกนี้ ทำให้ศาลเจ้ามีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่น
พิธีชิคุเน็น โซไค ยังแสดงถึงการรักษาความบริสุทธิ์ของกระจกและสถานที่บูชา
ข้อมูลที่มาของนิยาย "สาปรักใต้เงาจันทร์ "
นิยายเรื่อง “สาปรักใต้เงาจันทร์”
เขียนโดย มนต์รยา
ในยุคที่ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์รักกัน ทาคามากาฮาระสว่างไสวด้วยแสงแห่งรัก สึกุโยมิและอามาเทราสุสัญญาจะโอบกอดกันชั่วนิรันดร์ แต่ความเย่อหยิ่งจุดไฟแห่งคำสาป และความโกรธของอุเกโมจิกลายเป็นเงามืด
เมื่อเทพกลายเป็นมนุษย์ ‘เคน’ และ ‘ฮารุ’ ต้องเผชิญเงาของอดีต
ในศาลเจ้าเก่าแก่ที่ดอกซากุระร่วงหล่น ‘มิโอะ’ คือเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง
ความรักจะช่วยให้พวกเขาทลายคำสาป หรือนำพาไปสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง?
สาปรักใต้เงาจันทร์
รักที่สว่างยิ่งกว่าดวงดาว เจ็บปวดยิ่งกว่าความมืด
และแสงแห่งการอภัยที่รออยู่ท่ามกลางโศกนาฏกรรม
อ่านเต็มอิ่มในรูปเล่มอีบุ๊ก
โฆษณา