27 พ.ค. เวลา 13:22 • ประวัติศาสตร์
จีน

เรื่องแซ่บแห่งราชวงศ์ชิง เมื่อพระสนมลุกขึ้นฟ้องหย่าฮ่องเต้

ในประวัติศาสตร์จีน การฟ้องหย่าโดยผู้หญิงแทบไม่เคยปรากฏ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชวงศ์ชิงที่แม้สามัญชน การหย่าก็เป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เรื่องราวของ **พระสนมซูเฟย** ผู้ฟ้องหย่า **จักรพรรดิปูยี** ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง กลับเป็นข้อยกเว้นที่สั่นสะเทือนสังคม
**พระสนมซูเฟย** เดิมชื่อ **เหวินซิ่ว** มาจากครอบครัวผู้ดีมองโกล แม้ไม่ร่ำรวย แต่ได้รับการศึกษาที่ดีในยุคที่การให้ลูกสาวเรียนหนังสือยังไม่เป็นที่นิยม เมื่อปูยีทรงถึงวัยอภิเษก เหวินซิ่วถูกคัดเลือก แม้ปูยีจะโปรดปราน แต่ไทเฟยและพระสนมรุ่นก่อนไม่เห็นด้วย เพราะพื้นเพครอบครัวของเธอไม่สูงส่งเท่า **เจ้าหญิงหวันหรง** ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแทน
ชีวิตในวังของซูเฟยในตอนแรกดูจะสุขสบาย เธอได้รับสิทธิพิเศษและเงินเดือนตามฐานะพระสนมชั้นสูง รวมถึงการดูแลครอบครัวของเธอ แต่เมื่อจักรพรรดิปูยีถูกขับออกจากวังหลวง ชีวิตของเธอก็เริ่มพลิกผัน
เมื่อย้ายมาพำนักในคฤหาสน์ที่เทียนจิน ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฟยกับปูยีก็เริ่มร้าวฉาน ปูยีหมกมุ่นกับการฟื้นฟูอำนาจโดยพึ่งพาญี่ปุ่น ซึ่งซูเฟยไม่เห็นด้วย ทำให้ปูยีไม่โปรดปรานเธอเหมือนเดิม เธอถูกละเลย ไม่ได้รับของขวัญเหมือนคนอื่นๆ และที่สำคัญที่สุดคือถูกจัดให้อยู่ในห้องเล็กๆ ชั้นล่าง ขณะที่ปูยีและฮองเฮาอยู่ห้องชุดหรูชั้นบน
ความกดดันยิ่งทวีคูณเมื่อ **ฮองเฮาหวันหรง** แสดงท่าทีรังเกียจและกลั่นแกล้งซูเฟยอย่างเปิดเผย ถึงขั้นฟ้องปูยีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ซูเฟยถูกตำหนิอย่างหนัก ความทุกข์ระทมผลักดันให้ซูเฟยพยายามฆ่าตัวตาย แต่ปูยีกลับไม่แยแส โดยมองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจ
ในที่สุด ซูเฟยก็ตัดสินใจลุกขึ้นสู้ เธอฟ้องหย่าปูยีต่อศาล ซึ่งเป็นเรื่องไม่เคยมีมาก่อนและสร้างความตกตะลึงไปทั่ว แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ซูเฟยก็ตอบโต้ด้วยการเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ อธิบายถึงสถานการณ์ของเธอและอ้างอิงกฎหมายสิทธิสตรี การกระทำของเธอถูกขนานนามว่า **"การปฏิวัติแห่งพระสนมมีดสั้น"** สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและบทบาทของผู้หญิงในยุคนั้น
เรื่องราวของพระสนมซูเฟยจึงเป็นบทเรียนอันน่าสนใจ ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีและสิทธิสตรีในยุคที่ผู้หญิงแทบไม่มีปากมีเสียงในสังคม
โฆษณา