28 พ.ค. เวลา 14:52 • การเมือง

ช่องว่างทางกฎหมายที่กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศ

ผมมีโอกาสไปทำแผนพัฒนาจังหวัดให้กับจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง และพบว่าสิ่งที่ทุกคนในกลุ่มที่มาร่วมกันระดมความเห็น เห็นตรงกันคือการพัฒนาผู้ประกอบการดูแลผู้สูงอายุ เพราะทุกวันนี้มีจำนวนน้อยมาก ไม่เพียงพอกับความต้องการในปัจจุบัน และยิ่งในอนาคตเมื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ความต้องการก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ค่าดูแลก็จะยิ่งแพงขึ้น แม้ภาครัฐจะมีอบรมคนดูแลผู้สูงอายุ แต่ก็เป็นในระดับปฏิบัติการ แต่ในระดับผู้ประกอบการทุกวันนี้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ที่จริงผมเคยยกปัญหานี้ขึ้นมาเมื่อ 4-5 ปีก่อนและมีผู้บริหารของ อบจ. ของจังหวัดหนึ่งสนใจอยากจะทำ แต่ก็ติดข้อกฎหมายหลายอย่างรวมถึงผู้บริหารเองก็ไม่อยากเสี่ยงผิดกฎหมาย แม้จะดีต่อสังคม แต่เนื่องจากไม่มีใครเคยทำก็เลยไม่กล้าทำเพราะกลัว สตง. เล่นงาน ทำให้ไม่สามารถทำได้ในที่สุด
ในช่วง 2-3 ปีหลัง ผมจึงเปลี่ยนทางไปยุให้ทำแผนพัฒนาผู้ประกอบการให้มีจำนวนมากขึ้นแทน แต่ก็พบปัญหาอีก เพราะสาธารณสุขก็บอกว่า ตนทำได้แค่อบรมระดับปฏิบัติการ อบรมผู้ประกอบการไม่ได้ พาณิชย์ก็บอกว่าไม่มีความเชี่ยวชาญและถ้าอบรมไป ก็อาจจะติดปัญหาข้อกฎหมายทางสาธารณสุข ปกครองซึ่งเป็นผู้รับจดทะเบียนโรงแรมก็บอกว่า แม้จะมีการค้างคืนแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นโรงแรม ทำให้ในที่สุด ไม่มีใครยอมรับเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาผู้ประกอบการดูแลผู้สูงอายุทั้ง ๆ ที่เป็นโอกาสของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่ทำให้เห็นว่าโครงสร้างการบริหารราชการแบบไซโลแบ่งหน้าที่ตามกระทรวงแล้วกำหนดข้อกฎหมายว่าหน่วยงานไหนทำอะไรได้บ้าง (positive list) เพื่อจำกัดอำนาจของหน่วยงาน แทนการกำหนดว่าทำอะไรไม่ได้บ้าง (negative list) ได้สร้างอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศอย่างไร เพราะการกำหนดภารกิจแบบ positive list ทำให้ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงได้
แต่เนื่องจากการกำหนดภารกิจแบบนี้เหมาะกับการบริหารแบบรวมศูนย์ที่ต้องการควบคุมหน่วยงานทุกหน่วยงานให้ปฏิบัติเฉพาะตามภารกิจที่กำหนดซึ่งทำให้ควบคุมได้ง่าย ดังนั้นหากประเทศนี้ยังไม่ยอมกระจายอำนาจ ลดบทบาทของกระทรวงแล้วโอนอำนาจให้ท้องถิ่นบริหารจัดการแบบบูรณาการไม่แยกตามฟังก์ชันเหมือนที่เป็นอยู่ เราก็คงจะเห็นปัญหานี้เกิดขึ้นต่อไป
โฆษณา