29 พ.ค. เวลา 00:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิกฤติงบประมาณบัตรทองความจริงที่ต้องยอมรับ | บทบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ

เป็นที่รับรู้ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “บัตรทอง” เป็นนโยบายที่สร้างความอุ่นใจให้ประชาชนไทยมายาวนาน ด้วยหลักการ “ไปโรงพยาบาลแล้วรักษาฟรี” ซึ่งได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติว่าเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง
อย่างไรก็ตามเบื้องหลังความสำเร็จนี้กำลังมีเสียงเตือนจากบุคลากรในระบบสาธารณสุขว่า ระบบกำลังเผชิญวิกฤติทางการเงินอย่างรุนแรง ถึงขั้นระบุว่า หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ระบบสาธารณสุขไทยอาจ “พัง” ได้ ภายใน 3 ปีข้างหน้า
1
ปัญหาดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่ในเวทีต่างๆ โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการ (Provider) ทั้งโรงพยาบาลและคลินิก ที่สะท้อนถึงปัญหาการบริหารงบประมาณบัตรทองที่กระทบต่อการดำเนินงาน และกลายเป็นภาระขาดทุนอย่างหนักของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศเลยทีเดียว ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2568 พบว่า มีโรงพยาบาลถึง 218 แห่งที่มีเงินบำรุงติดลบ
ส่วนอีก 91 แห่งมีเงินเหลือน้อยกว่า 5 ล้านบาท และข้อมูลเดือนเมษายน 2568 มีรพ.ที่ไม่ได้รับเงินค่ารักษาผู้ป่วยใน 82 แห่ง จากการเรียกเก็บ 119 ล้านบาท สาเหตุจากการที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในไม่ครอบคลุมต้นทุนจริง
ว่ากันว่าต้นทุนเฉลี่ยในการรักษาผู้ป่วยในอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาทต่อ adjRW แต่ สปสช. จ่ายให้เพียง 8,350 บาทต่อ adjRW ถ้าพิจารณาตัวเลขแล้วจะเห็นช่องว่างระหว่างต้นทุนจริงกับอัตราจ่าย ทำให้หลายโรงพยาบาลต้องแบกรับภาระขาดทุนเกือบครึ่งหนึ่ง ขาดสภาพคล่องเห็นได้จากข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ที่โรงพยาบาลหลายแห่งมีสถานะการเงินติดลบรวมกว่า 4,219.4 ล้านบาท
โดย 10 อันดับแรกที่มียอดติดลบสูงสุดรวมกว่า 1.91 พันล้านบาท อันดับ 1 คือรพ.ขอนแก่น ติดลบกว่า 848.3 ล้านบาท ส่วนอันดับ 10 คือ.รพ.ปากช่องนานา จ.นครราชสีมา ติดลบ 73.8 ล้านบาท
ผู้ให้บริการสะท้อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก นโยบายการให้สิทธิประโยชน์แบบ “ปลายเปิด” ครอบคลุมบริการสาธารณสุขทั้งหมด มีแนวโน้มสูงขึ้นตามการใช้บริการและจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การจัดสรรงบประมาณให้กับโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยอาการหนัก (ผู้ป่วยใน) กลับเป็นแบบ “ปลายปิด”
ขณะที่การบริหารจัดการงบประมาณสำหรับ “หน่วยบริการนวัตกรรม” ที่เน้นการบริการปฐมภูมิหรือผู้ป่วยอาการเล็กน้อย (เช่น รับยาที่ร้านยา, เจาะเลือดที่บ้าน) เป็นแบบ “ปลายเปิด” เกิดคำถามถึงความเหมาะสมในการบริหารงบประมาณ โดยเฉพาะเมื่อโรงพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วยหนักกว่าได้รับงบประมาณแบบจำกัดอย่างเข้มงวด
เรามองว่าวิกฤติงบประมาณบัตรทองเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องการการยอมรับความจริงและแก้ไขอย่างรอบด้าน ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วน ทั้ง สปสช., กระทรวงสาธารณสุข, โรงพยาบาล, และประชาชน ต้องร่วมมือกันหาทางออกที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของความเป็นจริงของต้นทุนและงบประมาณ อาจจะปรับอัตราค่ารักษาให้ตรงกับต้นทุนจริง หรือ ตั้งกองทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลที่ประสบปัญหา เพราะหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่การล่มสลายของโรงพยาบาลและกระทบต่อคุณภาพบริการที่ประชาชนเคยได้รับและ คำว่า “รักษาฟรี” อาจจะเหลือเพียงแค่ในความทรงจำก็เป็นได้
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities
โฆษณา