30 พ.ค. เวลา 07:20 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

บักเจมส์ เซิร์จเวิร์ด โกหกสิ่งใดกับเรา ในแผนที่โลกของเขา ในศตวรรษที่ 19 ???(4)

ทวีปมู (Mu) หรือ รีมูเลีย (LeMUria) ก็เห็นพ้องต้องกันครับว่า อาณาจักรที่เก่าแก่ยืนนานที่สุดในโลกที่เป็นอารยธรรมของ"มนุษย์โลก"จริงๆนั้น คือ มู:ทวีปแห่งมารดรคือ นครอันตธานที่จมหายลงใต้ทะเลแปซิฟิกใต้เมื่อกว่า ๑๓,๐๐๐ ปี เราทั้งหลายได้รู้เรื่องราวจากจารึก นาอะคัล ที่ค้นพบในอินเดีย อันที่จริง จารึกแห่งนาอะคัลนี้ เขียนโดยสัญลักษณ์และอักขระนากา (Naga) จากตำนานกล่าวกันว่า “เขียนขึ้นที่แผ่นดินมู จารึกนี้ ได้ถูกนำเข้ามาที่พม่าก่อน แล้วจึงนำมาที่อินเดีย มีอายุเก่าแก่ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ปี”
จุดจบ คือจุดเริ่มต้น และ จุดเริ่มต้น ก็คือจุดจบ หลังจากจุดจบทวีปมูเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของอารยธรรมจุดต่าง ๆ ในโลกยุคหลังของผู้รอดจากภัยพิบัติ สายสัมพันธ์บรรพบุรุษ กำเนิดแม่น้ำคงคา
เริ่มต้นขอนำตำนานสำนวนหนึ่งของชาวอินเดียต่อแม่น้ำคงคา จากหนังสืออินเดีย แผ่นดินมหัศจรรย์ ผู้เขียนคือ คุณอรุณ เฉตตีย์ในอดีตนั้นมีฤาษีกปิละ ซึ่งบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขาหิมาลัย อยู่มาวันหนึ่งพวกโอรสของท้าวสักกะกษัตริย์แห่งอโยธยาออกตามม้าที่หายไป เมื่อมาพบม้ายืนอยู่ข้างพระฤาษี ก็เลยยัวะ! ตะโกนด่าและแกล้งท่านต่าง ๆ นา ๆ จนท่านตบะแตก จ้องมองไปที่กลุ่มเจ้าชาย เกิดไฟเผาผลาญเจ้าชายกลายเป็นเถ้าถ่าน และสาปสำทับไว้ไม่ให้ไปผุดไปเกิด จนกว่าจะได้มีโอกาสสัมผัสกับแม่น้ำคงคา
ฤาษีกปิละใช้ตาไฟเผาผลาญโอรสของท้าวสักกะ บางตำราก็เรียกว่า “ท้าวสคระ”
ต่อมาท้าวภคีรส ผู้สืบเชื้อสายจากท้าวสักกะปฐมกษัตริย์ ซึ่งมีความเศร้าโศกเสียใจมากที่บรรพบุรุษของตนโดนสาปเช่นนั้น จึงบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อขอพรพระอิศวร (พระศิวะมหาเทพ) ให้ช่วยวิงวอนแม่น้ำคงคาให้ไหลหลั่งลงมาสู่แผ่นดินเป็นการชำระบาปของผู้ที่ต้องคำสาป และแล้วพระแม่คงคาก็เห็นใจ ยอมหลั่งสายน้ำจากเขาไกรลาสลงสู่พื้นดิน เพื่อชำระอัฐิของพวกโอรสและมนุษย์ทั้งหลายให้พ้นมลทิน นี่คือ ตำนานกำเนิดสายน้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์สำนวนหนึ่ง
พระอินทร์ในคติชาวฮินดู
ภาษา สัญลักษณ์ รหัสวิทยา ภาษาโบราณ บันทึกของทวีปมู เริ่มจากดอกบัวเป็นตัวแทนของทวีปนี้เสมอ และทุกที่ในอาณาจักร และอาณาจักรลูก
ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมานานประมาณ 50,000 – 30,000 ปีมาแล้ว บนทวีปมู หมายถึง อาณาจักรมู สื่อเป็นภาษาภาพของอาณาจักร รวมสัญลักษณ์ตราราชวงศ์ และบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือศาสนธรรมโบราณ
แผนที่โบราณ
ท่านฤาษีวาลมิกิ (Valmiki) นักปราชญ์ นักโบราณคดีของอินเดีย ผู้รจนารามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ระหว่าง * พ.ศ. ๑๐๐ – ๒๐๐ ท่านวาลมิกิผู้ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากการอ่านบันทึกโบราณของวัด โดยนักบวชผู้สูงศักดิ์แห่งวัดริชี (Rishi) ที่เมืองอโยเดีย (Ayhodai) กล่าวถึงนักบวชนาอะคัลว่า “มาสู่พม่าจากแผ่นดินเกิดของพวกเขา ซึ่งอยู่ทางตะวันออก” จากนั้นเหล่านักบวชนาอะคัล (Naacal) นำความรู้วิทยาการต่าง ๆ ศาสนาโบราณ การบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์มาสู่มายา, ไอยคุปย์ (ตอนเหนือ), อารยัน
(ก่อนชาวอารยันเปลี่ยนชื่อเป็นวิษณุเทพ เมื่อครั้งลงมาอยู่ชมพูทวีป) นักบวชนาอะคัลดังกล่าวเข้าสู่อินเดีย และไอยคุปย์อาณาจักรตอนเหนือ โดยการเผยแพร่ศาสนาโบราณ
และคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และไอยคุปย์ (ตอนใต้) ในขณะที่ ซาอีร์ ปฏิบัติตามศาสนธรรมของโธท (Thoht) บูชาเทพโอซิริส ขณะเดียวกัน ชาวทวีปมูกลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ที่ยูคาตัง เม็กซิโก และสร้างวิหารพีระมิดขึ้นจารึกว่า “เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่แผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งเราจากมา” รวมถึงพีระมิดแห่งเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเม็กซิโก ซิตี้ (Mexico City)
คำจารึกของพีระมิดกล่าวไว้ว่า “พีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสาวรีย์แด่การล่มสลายของแผ่นดินแห่งตะวันตก” ลักษณะวิหารพีระมิดที่เป็นอารยธรรมเมโสอเมริกา แถบทวีปอเมริกากลาง รวมทั้งบันทึกการล่มสลายของแผ่นดินทวีปมู ที่รู้จักกันว่าคือชนเผ่ามายา
ประโยชน์ส่วนหนึ่งของวิหารพีระมิด ใช้เพื่อนักบวชประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบูชาเทพเจ้าดวงอาทิตย์ รา, รามู เทพเจ้าสูงสุด และประเพณีต่างๆ ที่มาจากที่เดียวกัน
การนับถือเทพเจ้าดวงอาทิตย์เป็นสิ่งสูงสุดของชาวอารยัน, มายาในยูคาตัง, ไอยคุปย์โบราณ ล้วนมาจากมาตุภูมิที่เรียก รา-มู สัญลักษณ์ผู้สร้าง นารายาณะ พยานาค ๗ เศียร ความรู้เกี่ยวกับตำนานการสร้างโลก การกำเนิดจักรวาล และที่โมเสสถอดมาจากภาษาฮีโรกริฟริกในไอยคุปย์ ลงสู่คัมภีร์เอซรา (Ezra) แล้วแปลลงเป็นภาษาฮิบรู เป็นพันธสัญญาเก่า และพันธสัญญาใหม่ในบทการสร้างโลก (Genesis)
ประวัติและเรื่องราวของ “ท้าวสักกเทวราช” (ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช, พระอินทร์)
**ท้าวสักกะ ในคัมภีร์ฤคเวท
บทความนี้เกี่ยวกับเทพในศาสนาฮินดู สำหรับเทพองค์เดียวกันในศาสนาพุทธ
ตามคติศาสนาฮินดูสมัยฤคเวท ศาสนาเชน และศาสนาพุทธ พระอินทร์ (สันสกฤต: इन्द्र, อินฺทฺร; บาลี: อินฺท) เป็นเทวราช[2] ผู้ปกครองสวรรค์และอภิบาลโลก ต่อมาในสมัยปุราณะ พระอินทร์ก็ถูกลดบทบาทลงและเริ่มมีพฤติกรรมทางเพศมากขึ้น กระทั่งกลายเป็นเทวดาชั้นรองจากมหาเทพตรีมูรติในปัจจุบัน
พระอินทร์เทพแห่งสายฟ้า ฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฝน น้ำตก ธรรมชาติ
พระอินทร์ประทับบนช้างเอราวัณ บนพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
ชื่อในอักษรเทวนาครีइन्द्र / इंदเป็นที่บูชาในศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธและศาสนาเชน ส่วนเกี่ยวข้องเทวราช สวรรคาธิบดี เทพโลกบาล และเทพคณะอาทิตย์ที่ประทับเวชยันต์วิมาน ในเมืองสุทัสสนะ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เมืองอมราวดี ในอินทรโลก (สวรรค์)อาวุธวัชระ, ศักรธนู, ศรอินทราสตร์, ดาบปรัญชะ, ขอช้าง, คทา, หอกวาสวีศักติ, จักร, สังข์ ฯลฯพาหนะช้างเอราวัณ
ม้าอุจไจศรพ
เวชยันตราชรถ เทียมม้าสีขาว มีพระมาตุลีเปจีนข้อมูลส่วนบุคคลคู่ครองพระอินทราณี, พระแม่สุธรรมา, พระแม่สุจิตรา, พระแม่สุนันทา, พระแม่สุชาดา, นางอหัลยา, นางกาลอัจนา, พระนางกุนตี, นางอัปสร 25 ล้านตน[1]บุตร - ธิดาพระชยันต์, พระนางชยันตี, พระนางเทวเสนา, พาลี, อรชุน ฯลฯบิดา-มารดา
  • 1.
    ​พระกัศยปะ (บิดา)
  • 2.
    ​พระแม่อทิติ (มารดา)
ในรามเกียรติ์ พระอินทร์กับนางกาลอัจนามีบุตรชื่อพาลี
ศาสนาฮินดู
คัมภีร์ฤคเวทว่า[3]
“...ผู้บังคับบัญชาอาชาชาติ ราชรถ ชนคาม และปศุสัตวานุสัตว์. ผู้กระทำให้มีซึ่งตะวันและกาลอรุณรุ่ง ผู้กระทำให้สายน้ำขับเคลื่อน โอ พระอินทร์นั่นแล้ว. พระอินทร์ผู้ปลดเปลื้องโศกาดูรแห่งอนาถาชน ผู้ปลดเปลื้องรัตติกาลด้วยอรุโณทัย ผู้กระทำให้ความไม่สมบูรณ์เป็นความสมบูรณ์...”
ในยุคเริ่มแรกตามคัมภีร์ฤคเวท พระอินทร์เป็นประมุขแห่งทวยเทพ เป็นเจ้าแห่งสภาพภูมิอากาศ และเป็นเจ้าแห่งการสงคราม มีอุปนิสัยชอบช่วยเหลือสรรพสัตว์ สมัยแรกมักเรียกพระอินทร์ว่า ศักระ (แปล: ผู้องอาจเป็นเลิศ) ซึ่งขณะนั้นมีจำนวนเทวดาทั้งสิ้นสามสิบสามพระองค์ อันได้แก่ เทพคณะอาทิตย์ 12 พระองค์ เทพคณะวสุ 8 พระองค์ พระรุทระ 11 พระองค์ และพระอัศวิน 2 พระองค์ โดยมีพระอินทร์เป็นประมุขของเทวดาเหล่านี้ คัมภีร์ส่วนใหญ่กล่าวถึงวีรกรรมของพระอินทร์ในการปราบอสูรชื่อวฤตระ (Vritra) และวีรกรรมในการอภิบาลจักรวาลนานัปการ
พระอินทร์ปราบวฤตราสูร
พระอินทร์ รึ ท้าวสักกะเทวราช ในคติของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ในฤคเวท วฤตราสูร หรือ อหิ เป็นบุตรของพระแม่ทนุ เป็นอสูรทานพ มีกายเป็นงูใหญ่ หรือ นาค ได้ขึ้นไปลักน้ำบนสวรรค์ และไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ทำให้ไม่มีน้ำฝนตกลงสู่โลก พระพิรุณได้ขอให้พระอินทร์ไปปราบ พระอินทร์ได้ใช้กระบองทำลายถ้ำ และ ใช้วัชระผ่าท้องวฤตราสูร ทำให้น้ำฝนตกลงสู่โลก
“...จะกล่าวถึงพระอินทร์ ทรงแสดงความกล้าหาญเป็นครั้งแรก โดยทรงวัชระ. พระองค์ทรงปราบงูยักษ์อหิ เปิดทางน้ำ ให้ไหลมาจากภูเขา. พระอินทร์ผู้ปราบงูยักษ์ที่อยู่บนยอดเขา โดยพระตวัษฏาร์ ผู้สร้างวัชระ. มวลน้ำไหลบ่า ดังฝูงโค ลงสู่มหาสมุทร...”
ต่อมาการนับถือพระอินทร์ทวีขึ้นเรื่อย ๆ พระอินทร์กลายเป็นต้นแบบแห่งกษัตริย์ของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งปวง ในภควัทคีตามีบทอธิบายถึงความสำคัญของพระอินทร์ว่า[3]
“เปรียบกับบรรดาคัมภีร์ทั้งปวง ข้าพเจ้าคือ***คัมภีร์สามเวท. เปรียบกับเทวาสุรทั้งปวง ข้าพเจ้าคือพระอินทร์ ประมุขแห่งทวยเทพ. เปรียบกับสัมผัสประสาททั้งปวง ข้าพเจ้าคือปัญญาประสาท. และในสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ข้าพเจ้าคือจิตสำนึกแห่งเขาเหล่านั้น...”
สถานะและอำนาจหน้าที่
(ซ้าย) พระอินทร์กายสีทอง มีพันตา 4 กร ทรงช้างเอราวัณ, (ขวา) พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ พร้อมกับพระนางศจี และขบวนแห่ของเหล่าเทวดา
พระอินทร์เป็นเทวดาองค์สำคัญของศาสนาพราหมณ์ โดยเป็นประมุขแห่งทวยเทพ และเป็นประธานเทวสภา มีอำนาจหน้าที่ปกครอง ควบคุม ธำรง รักษา และบำรุงสวรรคโลกและมนุษยโลก ปรากฏมากในปรัมปราของศาสนาพราหมณ์ซึ่งสงครามระหว่างพระอินทร์และความชั่วร้ายบรรดามี
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ พระอินทร์มีบทบาทลดลงโดยเป็นเทวดาชั้นรองและมีหน้าที่รองจากตรีมูรติ คือ พระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหม อำนาจหน้าที่บางประการของพระอินทร์ถูกโอนไปให้ตรีมูรติ เช่น พระอิศวรกลายเป็นประมุขสูงสุดแห่งทวยเทพและเป็นประธานเทวสภา พระนารายณ์มีอำนาจหน้าที่อภิบาลมนุษยโลกแทน กับทั้งพลังอำนาจของพระอินทร์ยังเป็นรองตรีมูรติ เป็นต้นว่า
ในคราวที่พระนารายณ์แบ่งภาคลงไปเป็นพระกฤษณะ พระกฤษณะสามารถสำแดงเดชยกเขาบังห่าฝนที่พระอินทร์บันดาลให้เกิดขึ้นมา เพื่อทรมานเหล่าผู้คน เพราะเสื่อมศรัทธาในพระอินทร์ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พวกพรหมณ์ของ****ไวษณพนิกาย
แต่งขึ้นภายหลังแล้วนำไปเพิ่มเติมในเรื่องราวของ พระกฤษณะเจ้าภายหลัง เพื่อลดความเชื่อถือในองค์อินทร์ ทุกศาสนาล้วนมีเทพหรือเทวดาที่วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนมีอายุขัยดับไปและเกิดใหม่
มีแต่ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าที่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่อยู่ในรูปพรหมและอรูปพรหม
นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อว่า พระอินทร์เป็นเทพประจำทิศตะวันออก หรือ บูรพา อีกด้วย[4]
ลักษณะของพระอินทร์
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ (จิตรกรรมลายรดน้ำ วัดสุทศนเทพวราราม)
สมัยฤคเวท พระอินทร์มีร่างกายกำยำ ผม เครา และเล็บสีทอง มีตาทั่วตัว มี 4 กร ในสมัยต่อมา พระอินทร์เริ่มมีหน้าตาและรูปร่างสวยขึ้น โดยมีร่างกายสีแดง สีขาวนวล และกลายเป็นสีเขียวในปัจจุบัน คัมภีร์ฤคเวทมีว่า[5]
“รังสีแห่งพระอินทร์นั้นหรือคือสีทอง. พระอินทร์ผู้มีเคราและผมสีทองซึ่งโปรดปรานการดื่มสุรานั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับลมกรด. พระอินทร์มีใบหน้าสวยงาม...พละกำลังแข็งแกร่งสมชาย...เป็นวีรบุรุษโดยแท้.”
พระอินทร์ ยังมีนามอื่นๆอีก อาทิ เช่น พระเทวราช,พระสวรรคาธิบดี,พระวัชรหัสต์,พระวัชรปาณี,พระศักระ,พระเทเวนทร์,พระวฤษัน,พระวฤตรหัน,พระสุเรนทร์,พระโกสีย์,พระสหัสนัยน์,พระสหัสเนตร,พระสหัสรากษะ,พระปุรันทร,พระชิษณุ,พระอมรินทร์,พระศักรินทร์,พระมัฆวาน ฯลฯ
อาวุธประจำกายของพระอินทร์ได้แก่วชิราวุธ คือ วัชระ (สายฟ้า), พระขรรค์ชื่อ "ปรัญชะ," ศักรธนู, บ่วงบาศ, จักร, สังข์ ตะขอ แหตาข่าย ฯลฯ.
พระอินทร์มีพาหนะคือช้างเอราวัณ ซึ่งปรกติเป็นเทวดาองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ประสงค์จะเดินทางไปในที่ใด เทวดาเอราวัณก็จะกลายร่างเป็นช้างพาหนะ
พระอินทร์มีหนึ่งหน้า สี่มือ แต่โดยปรกติแล้วในจิตรกรรมต่าง ๆ มักปรากฏเพียงสองมือ มือหนึ่งถือวชิราวุธ[6]
ที่พักของพระอินทร์เรียก "ไวชยนต์"
พระอินทร์ แต่เดิมกายก่อนถูกแต่งโดยคัมภีร์ฤคเวท ว่าเป็นกายสีแดง ต่อมา เป็นสีขาวนวล กระทั่งมาเป็นกายสีเขียวในปัจจุบัน และมีหน้าตาที่สวยงามขึ้น
ตั้งอยู่ในเมืองอมราวดี บนเขาพระสุเมรุ เขาพระสุเมรุนี้เป็นที่ตั้งของชั้นฟ้าหรือสวรรคโลก บรรดาเทวดาในอมราวดีนครไร้ทุกข์ทุกประเภท วันหนึ่ง ๆ ชื่นชมและสมสู่กับอัปสร และเล่นสนุกบรรดามี[7]
ความสัมพันธ์กับเทพองค์อื่น
พระอินทร์ทรงวัชระ
พระอินทร์ วิวาห์กับพระนางศจี บุตรีของท้าวปุโลมัน ราชาทานพ มีบุตรด้วยกัน ได้แก่ พระชยันต์ อุปราชแห่งสวรรค์ พระนางชยันตี ชายาของพระศุกร์ พระนางเทวเสนา ชายาของพระขันทกุมาร
ความเจ้าชู้ของพระอินทร์
กาลอัจนา
ในเรื่องรามเกียรติ์ กาลอัจนา[8] เป็นเด็กสาวที่มีความน่ารักเป็นเลิศซึ่ง*****ฤๅษีโคดมสร้างขึ้นมาจากกองไฟเพื่อเป็นคู่สมรสของตน เนื่องจากได้รับคำสบประมาทจากนกกระจาบผัวเมียที่เกาะอยู่ข้างอาศรมว่าฤๅษีมีบาปเพราะไร้ผู้สืบสกุล ฤๅษีโคดมและกาลอัจนามีธิดาด้วยกันหนึ่งคนชื่อว่า สวาหะ
ภายหลังจากที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ พระอินทร์คิดสนับสนุนพระราม และเผอิญมองลงมาจากวิมานเห็นกาลอัจนามีความน่ารักจับใจก็เกิดรักขึ้น เหาะลงมาหาในระหว่างที่ฤๅษีออกจากอาศรมเข้าป่าไปหาอาหาร ฝ่ายกาลอัจนาเห็นพระอินทร์รูปร่างหน้าตาสะสวยองอาจก็เกิดรักเช่นเดียวกัน ทั้งสองลักลอบได้เสียกันในคราวนั้นโดยไม่ทราบว่านางสวาหะแอบดูอยู่ภายนอก กาลอัจนาตั้งท้องกับพระอินทร์ ให้กำเนิดบุตรชายมีร่างกายสีเขียว ฤๅษีโคดมซึ่งไม่ทราบความจริงก็คิดว่าเป็นลูกของตน ให้ชื่อว่า ******กากาศ
ต่อมาเมื่อคราวที่ฤๅษีออกจากอาศรมเข้าป่าไปอีกครั้ง กาลอัจนานั่งอยู่ชานอาศรมมองขึ้นไปเห็นพระอาทิตย์มีรูปร่างหน้าตางดงามผึ่งผายก็หลงรัก ฝ่ายพระอาทิตย์ซึ่งรู้ว่ากาลอัจนาหลงรักก็เหาะลงมาสมสู่ด้วย โดยไม่ทราบว่านางสวาหะแอบดูอยู่ภายนอก กาลอัจนาตั้งท้องกับพระอาทิตย์ ให้กำเนิดบุตรชายมีร่างกายสีแดง ฤๅษีโคดมซึ่งไม่ทราบความจริงก็คิดว่าเป็นลูกของตน ให้ชื่อว่า สุครีพ
ต่อมานางสวาหะน้อยใจที่ฤๅษีโคดมเอาใจใส่บุตรชายทั้งสองมากกว่าตน จึงตัดพ้อเชิงว่ารักลูกคนอื่นมากกว่าลูกตน ฤๅษีโคดมเกิดสงสัยขึ้น เสี่ยงอธิษฐานโยนบุตรทั้งสามลงไปในน้ำ ผู้ใดเป็นบุตรที่แท้ที่จริงขอให้สามารถว่ายน้ำกลับมาหาตนได้โดยปลอดภัย ผู้ใดไม่ใช่ขอให้กลายเป็นลิง ซึ่งมีแต่นางสวาหะว่ายกลับมาหา
ส่วนกากาศและสุครีพกลายเป็นลิงวิ่งเข้าป่าอีกฝั่งหายไป
ครั้นกลับถึงอาศรม ฤๅษีโคดมเดือดดาลยิ่งนัก กล่าวผรุสวาทแก่กาลอัจนา แล้วสาปให้กลายเป็นหินไปเสียจนกว่าพระรามจะผ่านมาและถอนคำสาปให้กลายเป็นคนดังเดิม คำสาปมีว่า
“...คบชู้สู่สมภิรมย์รัก ทำการทรลักษณ์บัดสี ดังหญิงชั่วช้ากาลี ให้อินทรีย์ของมึงเป็นศิลา...
(รามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1)
ก่อนจะกลายร่างเป็นก้อนหินนั้น กาลอัจฉาเห็นว่านางสวาหะปากดี จึงสาปให้ไปยืนขาเดียวอ้าปากกินลมอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล จนกว่าจะมีบุตร ต่อมาเมื่อพระรามและกองทัพผ่านมาบริเวณนี้ ก็ได้ถอนคำสาปให้กาลอัจฉากลายเป็นคนดังเดิม
อหัลยา
นางอหัลยา[9][10] (สันสกฤต: अहल्या, Ahalyā; แปล: ผู้หญิงสมบูรณ์แบบ[11]) เป็นเด็กสาวที่พระพรหมสร้างขึ้นด้วยเวทมนตร์ มีความน่ารักเป็นเลิศ บรรดาเทวดาชายทั้งปวงต่างใคร่ได้มาครอง พระพรหมตั้งเงื่อนไขไว้ว่าจะมอบอหลยาให้แก่บุคคลใดก็ตามที่สามารถท่องทั้งสามโลกได้ทั่วถึงเป็นบุคคลแรก พระอินทร์จึงเร่งเดินทางไปทั่วสามโลกเพื่อการนี้
ด้วยพลังอำนาจแห่งเทพระดับพระอินทร์จึงใช้เวลาพริบตาเดียวในการดังกล่าว ในขณะที่มาขอรับนางอหัลยาไปนั้น ฤๅษีนารทซึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมของพระพรหมด้วยท้วงว่า ความจริงแล้วยังมีมหาฤๅษีชื่อโคตมะ (เคาตม มหาฤษิ) เคยเดินทางไปตลอดสามโลกก่อนพระอินทร์เสียอีก สมควรมอบนางอหัลยาให้แก่มหาฤๅษีโคตมะ พระพรหมเห็นชอบด้วยก็ดำเนินการตามนั้น
นางอหัลยาซึ่งหลงใหลในความงามของพระอินทร์จึงผิดหวัง และลักลอบร่วมรักกับพระอินทร์อยู่สม่ำเสมอ กระทั่งครั้งหนึ่งมหาฤๅษีจับได้คาหนังคาเขา จึงสาปให้มีอวัยวะเพศหญิงผุดขึ้นเต็มร่างกายพระอินทร์ พระอินทร์จึงได้ชื่อว่า สหัสโยนี
ต่อมามหาฤๅษีโคตมะบรรเทาคำสาปให้อวัยวะเพศหญิงกลายเป็นดวงตาเสีย พระอินทร์จึงได้ชื่อว่า สหัสนัยน์ อันแปลว่า ผู้มีดวงตานับพัน[12]
พระอินทร์จัดว่า เป็นเทพแมนๆ ที่ออกจะมั่วเซ็กส์จัดพระองค์หนึ่งของโลกแห่งเทพนะครับ เนื่องจากได้มีพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องด้วยในภายหลังมากมาย แต่นั่น ก็เป็นเรื่องแต่งที่พวกศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พยามแต่งมาดิสเครดิตพระองค์กับเทพองค์อื่นๆที่กำลังเกิดขึ้นมาในขณะนั้นอย่างมากมาย
พระวรกายของพระองค์มีสีเขียวมรกตเรืองรองน่างามตานัก ผู้เขียนคิดว่า ท่านน่าจะมาจากนิบิรุเหมือนกัน และก็เคยเป็นเทพแห่งพราหมณ์และฮินดูมาก่อน แต่ภายหลังทวยเทพของพราหมณ์ และฮินดูมีมากมายคณานับ ไม่ว่าจะเป็นพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระพิฆเณศ 9ล9
และยังมีเจ้าแม่อีกมากมายนับไม่ถ้วน คิดว่าพระอินทร์หรือพระสคระ คงไม่สำคัญนัก จึงยกท่านให้แก่ศาสนาพุทธที่ถือกำเนิดขึ้นมาภายหลังไป และแถมหมิ่นดูถูกในตำราพราหมณ์-ฮินดูของพวกเขาด้วยเป็นของสมนาคุณ
คัมภีร์ไตรเวทของพราหมณ์ -ฮินดู
ศาสนาเชน ก็นับถือพระองค์มากเช่นกันนะครับ ในสมัยที่พระองค์ยังรุ่งโรจน์อยู่ในบรรดาศาสนาเหล่านี้ พระองค์ถูกนับถือกระทั่งว่าเป็นต้นแบบแห่งกษัตริย์ของมนุษย์และเทวดาทั้งปวงเลยทีเดียว(ปัจจุบันก็ยังยึดถือพระองค์ว่าเป็นต้นแบบในเรื่องนี้อยู่)
แต่เมื่อในวันหนึ่ง บรรดาเหล่าทวยเทพในพราหมณ์และฮินดูมีมากขึ้น จึงได้ลดชั้นพระอินทร์ลงไปให้อยู่ในระดับรองๆเท่านั้นในตรีมูรติ แถมยังแต่งให้ท่านนั้น มั่วในกามเก่งเสียอีกด้วยในภายหลัง คือในสมัยปุราณะ ท่านเองคงจะน้อยใจ ต่อมาเมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา จึงหันมาเคารพนับถือบูชาพระพุทธเจ้าของเราแทน ถือเป็นเทพองค์หนึ่งที่มีความสำคัญมากในพระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและนิกายมหายาน ตลอดจนวัชระยานในประเทศเอเชียฝั่งตะวันออกด้วย
ในสมัยรุ่งๆนั้น พระองค์ทรงมีวีรกรรมชอบปราบนาคที่เกเร เหตุผลนี้ด้วยกระมัง ที่ภายหลังพวกพราหมณ์ฮินดูมาอ่าน แล้วเกิดความไม่ค่อยชอบใจ จึงลดชั้นให้พระองค์เป็นเทพชั้นรองๆไปจากเทพตรีมูรติ แต่ในทางพุทธศาสนา พระองค์ยังถือเป็นเจ้าแห่งทวยเทพทั้งมวล และต้นแบบแห่งกษัตริย์ของมนุษย์ด้วย
ส่วนในนิกายเถรวาท พระองค์ยังได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลเหล่าบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่จะมาจุติยังมนุษยโลก เพื่อดูแลให้พวกเขาเหล่านั้น ทำภาระกิจได้ลุล่วงสำเร็จลงอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
* ฤาษีวาลมิกิใช้เวลารจนาเรื่องรามเกียรติ์หรือรามายณะยาวนานถึงร้อยปีเชียวหรือ นี่ย่อมไม่ใช่ อายุของมนุษย์โลกปรกติธรรมดาๆเสียแล้ว หรือไม่นี่ ก็คือตัวเลขที่โมเมที่ขึ้นมา มีอีกสมมุติฐานหนึ่งคือ เรื่องรามเกียรติ์ อาจจะมีขนาดความยาวมากๆ จึงต้องใช้ผู้รจนามากกว่าหนึ่งท่าน ในบทประพันธ์เรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นของพราหมณ์ - ฮินดูนั้น ก็ได้ดิสเครดิตพระอินทร์ตามปกติของตลาดที่กำลังเริ่มมีการแข่งขัน
** ท้าวสักกะ หรือ ท้าวสคระ ในpostjung ข้างต้นนั้น น่าจะอยู่ในคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนะครับ เพราะมีพระอิศวร ปรากฏอยู่ในเรื่องด้วย และก็น่าจะเป็นสมัยที่มีฤาษีมากมายเข้าไปในป่า เพื่อจะบำเพ็ญตบะกัน ท้าวสักกะ หรือ ท้าวสคระ ในเรื่องนี้ เป็นพระมหากษัตริย์นะครับ ไม่ใช่เทพเทวดา เป็นทั้งปฐมและจอมกษัตริย์เสียด้วย ตามคติของพราหมณ์ -ฮินดูและพุทธศาสนา
และผู้แต่งเรื่องนี้ ก็ได้ดิสเครดิตท่านอีกแล้ว คือให้ฤาษีมีฤทธิ์มาก ถึงขนาดสาปโอรสของท้าวสักกะ หรือ ท้าวสคระได้ และก็ให้พระโอรส คือท้าวภคีรส ต้องไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระอิศวรมหาเทพ ต้องปลดคำสาปให้ คือดั่งให้ท้าวสักกะไม่มีฤทธิ์ แต่พระอิศวรกลับมีฤทธิ์มากมาย
* ** คัมภีร์สามเวท มีความสำคัญและความเก่าแก่รองจากคัมภีร์ฤคเวท เนื้อหาประกอบด้วยรวมบทสวด (สังหิตา) และร้อยกรองอื่น ๆ โดยนำมาจากฤคเวท (ยกเว้น 75 บท)[1] เพื่อใช้เป็นบทร้องสวดเป็นทำนองตามพิธีกรรม เรียกว่า "สามคาน" สวดโดยนักบวชที่เรียกว่า "อุทคาตา" ขณะทำพิธีคั้น กรอง และผสมน้ำโสม เพื่อถวายเทพเจ้า
ในสมัยรุ่งๆนั้น พระองค์ถึงกับโอ่ตนเองในคัมภีร์ภควทคีตาว่า หากเปรียบคัมภีร์ต่างๆแล้ว พระองค์ก็เปรียบดั่งคัมภีร์สามเวท คือเปรียบเทียบตนเองเป็นดั่งคัมภีร์ทั้งคัมภีร์เลย คัมภีร์นี้จะใช้เป็นบทร้องสวดเป็นทำนองตามพิธีกรรม เพื่อถวายแด่เทพเจ้า
แต่คัมภีร์นี้ ยังมีความเก่าแก่รองจากคัมภีร์ฤคเวทอีกนะครับ สมดั่งสุภาษิตว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่างนั้นเลย
นั่นมันก็แปลง่ายๆว่า พระอินทร์ หรือ พระสคระ ไม่มีความสำคัญสูงสุดสักเท่าใดในพราหมณ์ ฮินดู เมื่อไม่มีความสำคัญ พระองค์ก็อาจถูกควบคุมได้ โดยเทพชั้นที่สูงรึมีความสำคัญมากกว่า เช่น เทพตรีมูรติทั้งสาม เป็นต้น
**** เป็นนิกายที่เก่าที่สุดในพราหมณ์-ฮินดู นับถือพระวิษณุเจ้าเป็นเทพองค์สูงสุด เชื่อว่าวิษณุสิบปาง หรือนารายณ์ ๑๐ ปางอวตารลงมาจุติ มีพระลักษมีเป็นมเหสี มีพญาครุฑเป็นพาหนะ นิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียภาคเหนือและภาคกลาง ของประเทศ นิกายนี้เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ สถาปนาโดยท่านนาถมุนี (Nathmuni)
*****ในนิยายเรื่องรามเกียรติ์ หรือรามายณะ ของฤาษีวาลมิกิ ที่ได้ประพันธ์ในระหว่างพ.ศ.100-200 ได้กล่าวถึงฤาษีด้วยกันแต่ชื่อว่า ท่านโคดม ผู้เขียนคิดว่า น่าจะเป็นพระนามเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของเรา ที่พระนามว่า พระสมณโคดม เพียงแต่ท่านนี้ เป็นพระฤาษี ก็เนื่องจาก บทประพันธ์เรื่องนี้นั้น แต่งขึ้นในเวลาที่พระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว นั่นเองครับ
ก็คงจะเป็นการบลัฟหรือดิสเครดิตกันนั่นเอง ระหว่างศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ที่นับถือพระนารายณ์ หรือ พระกฤษณะ และพระพุทธศาสนาที่กำเนิดขึ้นมาแล้วทีหลัง ในเนื้อเรื่องนั้น ได้เขียนเหมือนหมิ่นศาสดาของเราว่า พระสมณโคดม เป็นเพียงฤาษีที่นิยมในการนั่งณานตามป่าเขาเท่านั้น และยังมักมากกามคุณ ขนาดไปหลงรักกับเด็กสาวเสียได้
และในนิทานเรื่อง นางอหัลยา ที่พระพรหมเป็นผู้เนรมิตขึ้นมาอีกก็คล้ายๆกันครับ แต่ชื่อว่าพระฤาษีมหาเคาตมะ ท่านก็มีความรักกับนางอหัลยา ที่น่าจะเป็นเด็กสาวพรหมจรรย์ แต่เรื่องนี้ ท่านมีฤทธิ์เดช อิทธิฤทธิ์มากมาย ถึงขนาดมากกว่า พระอินทร์เสียอีก ทั้งๆที่เป็นแค่เพียงฤาษี
เรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นการแต่งเพื่อดิสเครดิตกันอีกเหมือนกันระหว่างพราหมณ์กับพุทธ และเดาว่า พระฤาษีมหาเคาตมะ ก็น่าจะคือ พระสมณโคดมพระพุทธเจ้าเรา นั่นล่ะ ที่มีฤทธิ์มากกว่าพระอินทร์ขนาดเสกรึสาปได้สบายๆเลย
****** กากาศ ลูกชู้ที่เกิดระหว่างพระอินทร์กับนางกาลอัจนาในรามเกียรติ์ มีความน่าสงสัยอีกเช่นกัน ว่าจะเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดิสเครดิตหรือบลัฟกัน ระหว่างพุทธกับพราหมณ์ -ฮินดู อีกตามเคย แม้ว่าอาจจะมีที่มาคล้ายกัน แต่พราหมณ์-ฮินดูนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่เอาพระอินทร์ไว้ในสารบบอีกต่อไปแล้ว
******พระอินทร์ในลัทธิความเชื่อของพราหมณ์-ฮินดูนั้น ทรงชอบดื่มสุรา และมีผมและเคราสีทองอย่างเช่นชาวเอเชียกลางคือ พวกอาร์เมนอยด์ ร่วมถึงพระนิสัยที่ทรงชอบดื่มสุรา นั่นก็คล้ายกับชาวพวกนี้ แต่ในตอนแรกๆที่แต่งนั้น พระองค์ทรงมีวรกายสีแดง เช่นดั่งชาวมองโกลลอยด์และคนอินเดียพื้นถิ่น การที่ให้พระองค์มีพระวรกายสีขาวนวล และสีเขียวต่อมาตามลำดับ น่าจะหลังจากการที่มีชาวอาร์เมนิดส์มาร่วมแต่งตำราพระเวทของพราหมณ์นั่นเอง
โฆษณา