8 มิ.ย. เวลา 01:00 • ธุรกิจ

Qualification of trader - ปริญญาของ Trader (แถม Tips จากประสบการณ์)

อ่านหัวข้อแล้วก็น่าจะรู้สึกว่า “ห้ะ การเป็น Trader มันต้องใช้ปริญญาด้วยหรอ” หรือ “ไม่ใช่ว่าจะ Trade ได้ ก็แค่เติมตังกด 2-3 ตุ่มก็ได้ตังละ”
จะบอกว่า “ฟังถูกแล้วครับ” การเป็น Trader กด 2-3 ตุ่มก็ได้ตัง… แต่ ปัญหาคือ “เราจะกด 2-3 ตุ่มแล้วได้ตังยังไงให้ 'ได้ตัง' ในระยะยาวต่างหาก” ดังนั้นเราเลยต้องมี Qualification ครับ
FYI : ไว้ก่อนนะครับ ว่า การมี Qualification แล้วไม่ได้แปลว่าจะประสบความสำเร็จในการ Trade ทันที และ เช่นเดียวกันบางทีพอเราได้ปริญญาหรือในระหว่างนั้นก็อาจจะค้นพบว่าทางนี้ไม่ใช่ทางของเราก็ได้
แต่การที่เราผ่าน Qualification ของการ Trade ในระยะยาวแล้วจำทำให้เรามั่นใจได้ อย่างน้อยก็ระดับหนึ่ง ว่าเราได้มีประสบการณ์หรือความรู้มากพอที่จะเดินต่อในทางการเป็น Trader — โอเคมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
Phase 1 : การเรียนรู้ (Learning) > การเรียนรู้ก็จะเป็นการเรียนรู้ตั้งแต่ด้าน Tools > Technical > Fundamental > Psychology (ผมได้อธิบายรายละเอียดแล้วใน Series ของ Blockdit แวะไปดูกันได้ครับ)
Phase 2 : การประมวลผล (Evaluation) > พอเราเรียนรู้มามากแล้วก็เอาทุกอย่างมา รวมกันเป็น "ระบบ" (คนส่วนมากที่เริ่มมา Trade พอรวมๆกันได้ก็ข้ามไปเติมแล้วก็ Trade จริงเลย )
Phase 3 : การเก็บเกี่ยวและปรับระบบ(Collection & Tweaking) > จะเป็นช่วงเวลาที่นานที่สุด(1ปี++ ของแค่ช่วงนี้ช่วงเดียว) และ หลายๆคนก็ไม่สามารถผ่าน Phase นี้ไปได้ โดยการเก็บเกี่ยวข้อมูลก็จะมี 2 แบบหลักๆ คือ Back-test และ Forward-test(Live Market) เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใจระบบตัวเองมากขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น การเลือกตลาด สภาพตลาดแค่ละแบบ
Back-test คือเราจะเก็บข้อมูลจากการใช้ข้อมูลย้อนหลัง และ Forward-test คือการนำเอาท่า Trade ที่เรามีไปทดสอบกับสถานการณ์จริง เนื่องจากการ Back-test เราไม่เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึก รวมถึงเวลาระหว่าง Setup ที่ต้องรอ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการ Trade ทั้งหมด (เป็น Topic ในภายภาคหน้า)
ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้เราเข้าใจในความเป็นจริงว่าการ Trade ควรจะเป็นอย่างไร และความรู้สึกต่างๆมันควรจะอยู่ที่จุดไหน
Phase 4 : เทรดจริง (Live Trading) > ก็จะถึงความจริงแล้ว ได้เอามา Trade โดยอาจจะใช้เงินจริง หรือ Prop. firm ก็ได้
*สำคัญ* สปอย์ไว้ก่อนเลยนะครับ การ Trade จริง มันก็จะต่างกับการ Test ไปอีก จะยากขึ้นอีกขั้นนึงเป็นเหมือนขั้นบันไดการพัฒนาตัวเอง คุณจะได้เห็นหรือรู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน บาดแผลภายในใจตั้งแต่วัยเด็กจนโตจะออกมาให้ได้สัมผัสไม่ว่าคุณจะรู้ว่าคุณมีบาดแผลนั้นหรือไม่ และ ส่วนนั้นแหละครับที่จะมากระทบกับการตัดสินใจ แม้เล็กน้อยแต่ก็ทำให้เปลี่ยนการตัดสินใจไปได้เลยครับ
ตัวอย่าง ตัวผมเองที่หลังจากเริ่ม Trade จริงไปได้ซักพักผมรู้สึกว่าผมมี Pattern ความคิดที่แวะเวียนมาตลอดว่า “ผมอยาก ‘พิสูจน์’ ให้คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมันคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
แต่ความจริงแล้วมันคือบาดแผลในวัยเด็กที่ผมอาจรู้สึกว่าผมไม่ได้รับการรับฟังที่เพียงพอ และ ถูกเข้าใจผิดบ่อยๆ จึงทำให้รู้สึกว่า “อยากให้คนอื่นจริงจังกับคำพูดของผม และ ผมก็อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าผมถูกต้อง”
ซึ่งความคิดเหล่านั้นที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมัน ก็ทำให้ผมอยาก “รวยเร็ว” ครับ แม้ว่าผมจะทำตามระบบตัวเองก็อาจจะติดสินใจอะไรนอกระบบโดยที่ไม่รู้ตัว เช่น ตัดกำไรเร็วเกินไป ตัดขาดทุนเร็วเกินไปทำให้ Trade ไม่ทันได้เคลื่อนที่พอรู้ตัวอีกทีก็เคลื่อนที่ไปทางที่ผมต้องการ
สรุป คือ ทั้งหมดนี้ที่ Trader ต้องผ่านไปให้ "ไม่ได้แปลว่าต้องทำทุกอย่างให้ครบ" แต่ถ้าทำไม่ครบ เช่น ปรับระบบได้ไม่ดีพอเข้าใจระบบไม่มากพอ แล้วข้ามไป Trade จริงเลยผลลัพท์ที่ออกมาก็คาดหวังได้เลยว่ามันจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเรียนรู้เพิ่มในระหว่างทางนั้น เช่น บางคนข้ามไป Trade จริงแต่มีต้นทุนสูงถ้าผ่านการพัฒนาในการ Trade ไปแล้วปรับระบบทุกอย่างมากพอ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้
แต่จะเลือกอะไรระหว่าง “เสียตังไปด้วยเรียนรู้ไปด้วย” หรือ “ไม่เสียตังนิดหน่อยหรือไม่เสียเลยเพื่อที่จะได้เรียนรู้เหมือนกัน” เป็นทางที่ต้องเลือกแล้วหล่ะครับ
-------------------------------------------------------------------------
ถ้าเข้ามาอ่านจนจบแล้ว กดไลค์ กดหัวใจ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
Tiel Trader มี Fanpage ด้วยนะครับจะโพสรวมบทความ + เนื้อหาจิปาถะ
โฆษณา