6 ก.ค. เวลา 11:00 • หนังสือ

ทำไมใครๆ ก็อ่าน Ultra-Processed People รู้ 5 ข้อก่อนพุ่งตัวไปซื้อ

คุณคิดว่าสิ่งที่คุณกินเข้าไปในแต่ละวัน คือ 'อาหาร' จริงๆ หรือเปล่า? แพทย์และนักวิชาการชื่อดัง "ดร.คริส แวน ทุลเลอเคน" (Chris van Tulleken) ได้ออกมาเปิดโปงความจริงอันน่าตกใจเบื้องหลัง 'อาหารแปรรูปขั้นสูง' ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องของแคลอรี่ ไขมัน หรือน้ำตาล แต่เป็นกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนซึ่ง 'หลอกลวงสมอง' และกำลังนำเราไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ โดยเฉพาะภาวะอ้วนและปัญหาทางสุขภาพจิต
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลด้านโภชนาการดูเหมือนจะซับซ้อนและขัดแย้งกันอยู่เสมอ แต่ศาสตราจารย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้ออย่าง ดร.ทุลเลอเคน ได้วิเคราะห์พบตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติสุขภาพของผู้คนยุคใหม่ ผ่านหนังสือขายดีของเขาเรื่อง "Ultra-Processed People" เขาไม่ได้ชี้เป้าไปที่สารอาหารใดสารอาหารหนึ่งโดยเฉพาะ แต่พุ่งตรงไปที่สิ่งที่เรียกว่า "อาหารแปรรูปขั้นสูง" หรือ Ultra-Processed Food: UPF
กรุงเทพธุรกิจ ชวนอ่านรีวิวหนังสือ Ultra-Processed People: Why Do We All Eat Stuff That Isn’t Food ... and Why Can’t We Stop? (แปลไทย : #อร่อยลวงตาย โดย สนพ. WeLearn) คร่าวๆ โดยมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนที่น่าสนใจ เพื่อเป็นน้ำจิ้มให้คนที่อยากรู้ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับอะไร ทำไมช่วงนี้ใครๆ ก็อ่านกัน โดยเราได้สรุป 5 เรื่องต้องรู้ของหนังสือเล่มนี้มาให้ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจไปซื้อหามาอ่านแบบละเอียดด้วยตัวเอง
1. Ultra-Processed Food ไม่ใช่ อาหาร แต่คือ 'สารที่กินได้ผ่านกระบวนการอุตสาหกรรม'
แวน ทุลเลอเคน อธิบายว่า UPF คืออาหารที่ผ่านการแปรรูปอย่างหนักหลากหลายขั้นตอนในโรงงานผลิตอาหารขนาดใหญ่ โดยมีการเติมสารเติมแต่ง, อิมัลซิไฟเออร์, สตาร์ชดัดแปร, สารเคมี และผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการทำอาหารในครัวที่บ้าน
ยกตัวอย่างเช่น พิซซ่าที่ทำสดใหม่จากวัตถุดิบเพียงไม่กี่อย่างในร้านอาหารท้องถิ่น อาจมีสารอาหารใกล้เคียงกับพิซซ่า UPF ราคาถูกจากซูเปอร์มาร์เก็ต แต่พิซซ่า UPF มักจะมีสารกันบูด สารคงตัว และสารต้านอนุมูลอิสระ หรือขนมปังตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป มักจะมีปริมาณเกลือสูงมากและน้ำตาลสูงกว่าระดับที่นักโภชนาการแนะนำ
อีกทั้งมีพลังงานสูงกว่าขนมปังที่ทำเองหรือขนมปังโฮมเมด เพราะต้องผ่านกระบวนการบางอย่างเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และมักจะนุ่มมากทำให้กินได้เร็ว สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อ "หลอกลวง" ลิ้นของเราให้กินมันได้อย่างเพลิดเพลิน จนเผลอกินปริมาณมากๆ แบบหยุดไม่ได้
2. Ultra-Processed Food "แฮกสมอง" ทำลายกลไกธรรมชาติของร่างกาย
หนังสือ Ultra-Processed People นำเสนอประเด็นหลักๆ ไว้ว่า อาหารที่ถูกออกแบบทางวิศวกรรมนี้ กำลัง "แฮกสมอง" ของผู้บริโภค โดยไปรบกวนกลไกควบคุมความอยากอาหารตามปกติของร่างกาย ผลลัพธ์ก็คือมันทำให้เรากินเยอะขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีลักษณะนุ่ม ลื่น กินง่าย มีรสเค็มจัด หวานจัด ซึ่งกระตุ้นต่อมรับรสชาติได้มากกว่าอาหารที่ไม่ได้แปรรูป ดร.ทุลเลอเคน ชี้ว่า ข้อเท็จจริงมูลค่ามหาศาลนี้ คือสาเหตุหลักที่ทำให้โรคอ้วนระบาดไปทั่วโลก
ไม่ได้แค่ค้นคว้าข้อมูลจากแฟ้มรายงานวิจัยหรือเปเปอร์ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ ดร.ทุลเลอเคน ทดลองสมมติฐานนี้ด้วยตัวเขาเอง (โดยมีพี่ชายฝาแฝดมาร่วมด้วย เพื่อเป็นปัจจัยควบคุมทางพันธุกรรม) โดยเขาได้รับประทานอาหารแปรรูปขั้นสูงเป็นเวลาหลายเดือน และพบว่ามันทำให้ความอยากอาหารของเขา "ไม่สามารถควบคุมได้"
2
การกินมากเกินไปที่เกิดจากสารเคมี-สารเสริมต่างๆ ในอาหารเหล่านี้ ทำให้เขาน้ำหนักเพิ่มขึ้น และมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา ผลการทดสอบพบว่า ฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณความอิ่มแทบไม่ตอบสนองเลย แม้เขาจะกินอาหารมื้อใหญ่ก็ยังไม่รู้สึกอิ่ม! ในขณะที่ฮอร์โมนความหิวกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังกินเสร็จ นอกจากนี้ ระดับฮอร์โมนเลปติน (ฮอร์โมนจากไขมัน) เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า และระดับ C-reactive protein ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การอักเสบในร่างกาย ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
8
3. ไม่ใช่แค่อ้วน แต่ UPF เชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหลากหลายชนิด
นอกจากนี้ ดร.ทุลเลอเคน ยังได้อ้างอิงถึงผลการศึกษาจำนวนมากที่สนับสนุนสมมติฐานของเขา การศึกษาหนึ่งพบว่า หากเราบริโภค UPF เพิ่มขึ้น 10% จะสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็ง 10% (แม้จะปรับปัจจัยด้านสารอาหารแล้วก็ตาม) และยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 25% ขณะที่การศึกษาอื่นๆ อีกหลายชิ้นก็ชี้ว่า หากกินอาหารแปรรูปขั้นสูงบ่อยๆ หรือกินปริมาณมากๆ ก็เพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากขึ้นถึง 22-62%
3
ไม่เพียงเท่านั้น Ultra-Processed Food ยังเชื่อมโยงกับโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดอย่างน่าตกใจ รวมถึงการเสียชีวิตทุกสาเหตุ, มะเร็งทุกชนิด (โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม), โรคหลอดเลือดหัวใจ, เบาหวานชนิดที่ 2, ความดันโลหิตสูง, ภาวะไขมันพอกตับ, โรคลำไส้อักเสบ, ภาวะซึมเศร้า, ระดับไขมันในเลือดที่แย่ลง, โรคลำไส้แปรปรวน, ภาวะสมองเสื่อม และที่น่ากังวลคือ แม้แต่ในผู้ที่มีรูปร่างผอม หากบริโภค UPF ในปริมาณสูงก็มีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเกิดภาวะสมองเสื่อมสูงขึ้นเช่นกัน
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่นักวิจัยด้านอาหารแปรรูปขั้นสูงเชื่อกันก็คือ อาหารกลุ่มนี้จะเข้าไปรบกวนระบบ "กลไกควบคุมการกินมากเกินไป" ตามธรรมชาติของร่างกาย พูดง่ายๆ ว่า ความนุ่มนิ่มหอมอร่อยของ Ultra-Processed Food ทำให้เรากินได้เร็วขึ้น ซึ่งสวนทางกับกลไกความอิ่ม
4
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพบว่า สารเติมแต่งอย่าง อิมัลซิไฟเออร์, มอลโทเดกซ์ทริน และแซนแทนกัม อาจรบกวนหรือทำลายล้างไมโครไบโอม (จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) ในลำไส้ของเรา พอเราไม่มีจุลินทรีย์ที่ดี ก็อาจทำให้เราป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบ เบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะดื้ออินซูลิน
1
4. อุตสาหกรรมอาหาร คือ ผู้ล่าในเกม ส่วนผู้บริโภค คือ เหยื่อ?!
ดร.ทุลเลอเคน มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตอาหารแปรรูปขั้นสูงกับผู้บริโภคนั้น เป็นเหมือน "การแข่งขันเชิงวิวัฒนาการระหว่างผู้ล่ากับเหยื่อ" โดยผู้ผลิตพยายามปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดเงินจากกระเป๋าของผู้บริโภคซึ่งเป็นเหยื่อ
เขายังเปิดเผยถึงความร้ายกาจของอุตสาหกรรมอาหารเหล่านี้ ในการบิดเบือนข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสินค้าอาหารแปรรูปขั้นสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริดภคเข้าใจผิด เขาสังเกตว่า มีนักวิชาการบางคนออกมาต่อต้านข้อมูลที่เขาพยายามนำเสนอ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่มบริษัทอาหารข้ามชาติ อีกทั้งเขายังมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เมื่อบริษัทอาหารขนาดใหญ่เสนอค่าจ้างถึง 20,000 ปอนด์สำหรับการบรรยายสั้นๆ แต่สัญญามาพร้อมกับข้อห้ามในการกล่าวโจมตีบริษัทในที่สาธารณะ ซึ่งเขาปฏิเสธในที่สุด
อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ก้าวร้าว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ยากจน ซึ่ง Ultra-Processed Food กลายเป็นทางเลือกที่หาง่ายที่สุดและมีการโฆษณาอย่างท่วมท้น ทั้งบนตั๋วรถเมล์ ในโซเชียลมีเดีย และแม้แต่ในเกม การเคลื่อนไหวของบริษัทอาหารข้ามชาติแทรกซึมเข้าถึงผู้บริโภคหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ประชากรในประเทศเหล่านั้นมีอัตราโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
5. ผู้บริโภคควรได้รับข้อมูลที่ชัดเจน และกฎหมายที่เข้มแข็ง
ท้ายที่สุด ดร.ทุลเลอเคน ไม่ได้เสนอว่าต้องห้ามจำหน่ายอาหารแปรรูปใดๆ อย่างสิ้นเชิง หรือออกมาพูดในทำนองการตำหนิผู้บริโภค แต่เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากแค่กำลังใจของตัวบุคคลเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เขาเรียกร้องให้มีมาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในภาพรวม โดยเขาเสนอข้อแนะนำหลักๆ สองประการ ได้แก่
ยกเลิกผลประโยชน์ทับซ้อน: ในคณะกรรมการทางวิทยาศาสตร์และที่ปรึกษาด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักร ความสัมพันธ์ที่ "สบายๆ" ระหว่างหน่วยงานทางการกับอุตสาหกรรมอาหารควรยุติลง
ฉลากเตือนที่ตรงไปตรงมาบนผลิตภัณฑ์อาหาร: เช่น การใช้เครื่องหมายแปดเหลี่ยมสีดำบน UPF ฉลากนี้ควรหมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถอ้างสรรพคุณทางสุขภาพ หรือทำการตลาดที่มุ่งเป้าไปที่เด็กได้ ตัวอย่างเช่น ซีเรียลสำหรับเด็กที่มีน้ำตาลสูง จะไม่สามารถกล่าวอ้างทางสุขภาพ หรือใช้ตัวการ์ตูนสัตว์น่ารักบนกล่องได้อีกต่อไป และไม่ควรขายในโรงพยาบาลหรือโรงเรียน
โดยสรุปคือ ดร.ทุลเลอเคน อยากเรียกร้องให้หยุด "อาหารที่หลอกลวง" แม้วิทยาศาสตร์ด้านอาหารและสุขภาพอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่สำหรับอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้น เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพ
Ultra-Processed People เป็นหนังสือที่เรียกร้องให้เราตระหนักรู้ถึง "กลลวงระยะยาวของอาหารแปรรูปขั้นสูงที่อยู่ต่อหน้าพวกเราในทุกๆ วัน" มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองฉลากอาหารด้วยความระมัดระวัง และร่วมกันเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เพื่อให้เราทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่เข้าถึงได้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนเท่านั้น ใครไม่อยากตกเทรนด์สุขภาพ ต้องรีบไปซื้อเล่มนี้มาอ่านให้ไว!
โฆษณา