1 มิ.ย. เวลา 03:56 • ความคิดเห็น

Mad Unicorn

ผมเจอเขาครั้งแรกในช่วงที่โควิดเริ่มซาๆ ลงช่วงหนึ่งประมาณกรกฏาคมปี 2020…
คุณอาทิตย์ซีอีโอ เจ้านายของผมในตอนนั้นผู้ซึ่งไม่ค่อยจะตื่นเต้นกับใครง่ายๆ เท่าไหร่ เชิญผมเข้าประชุมร่วมกับบริษัทที่ซีอีโออยากลงทุนด้วยมาก บริษัทนั้นกำลังจะระดมทุน ซีรีส์ D ที่จำนวนเงินสามพันล้านบาทด้วยมูลค่าบริษัทเกือบสองหมื่นล้านบาท เป็นบริษัทที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจได้แค่ประมาณสามปี
บริษัทนั้นชื่อว่า flash express และซีอีโอของ flash ชื่อคมสันต์ แซ่ลี
ผมเดินเข้าไปในห้องก็เห็นผู้ชายหนุ่มๆสามคนนั่งอยู่ใส่เสื้อเชิ้ตบริษัทสีเหลือง ตอนแรกนึกว่าคมสันต์ยังไม่มา สามคนนี้ดูไม่ได้มีแววเป็นผู้บริหารในภาพจำอะไรแม้แต่น้อย แต่พอแนะนำตัวถึงรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือคมสันต์
1
เขาดูเป็นหนุ่มทำงานธรรมดาคนนึงไม่ได้เหมือนซีอีโอ startup มูลค่าสองหมื่นล้านแต่อย่างใด หน้าตาผิวคล้ำๆ ถ้าเจอหน้าตึกก็คงนึกว่ามาส่งของมากกว่า
แต่พอเขาเริ่มเล่าวิสัยทัศน์ที่ทะเยอทะยาน แนวความคิด และที่มาที่ไป รวมถึงแผนงานในอนาคตให้ฟังด้วยสำเนียงไทยแบบแหม่งๆ คมสันต์ในตอนนั้นประกาศว่าอีกไม่นานเขาจะแซงขึ้นเป็นอันดับสองของการขนส่งไทยให้ได้ ผมฟังแล้วก็ทึ่งกับชายหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาฝันจะเล่นเกมส์ใหญ่ในระดับภูมิภาค พาตัวเองมาได้ถึงขนาดนี้ แหวกแนวกว่า start up ไทยคนอื่นที่ผมเคยคุยด้วย
ในขณะที่จุดเริ่มต้นของเขานั้นติดลบกว่าทุกคนซึ่งก็ดูเหมือนไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรต่อเขาเท่าใดนัก ผมเลยขอนัดเจอและมีโอกาสได้พูดคุยกับคมสันต์อีกสามสี่ครั้งเพราะด้วยความอยากรู้ถึงเคล็ดวิชาที่ทำให้คมสันต์มาเหนือเมฆได้จนวันนี้..
คมสันต์ เป็นเด็กต่างจังหวัดเกิดบนดอยแถวเชียงราย ไม่ได้มีฐานะดีนัก มีสายเลือดจีน พูดภาษาจีนได้ เรียนจบที่ลำปาง เคยเปิดร้านขายของอยู่หน้าราชภัฏ เน้นเอาของกินมาขายนักเรียนจีนที่มาเรียนแลกเปลี่ยน เหมือนชีวิตช่วงแรกของเขาจะวนเวียนกับความคิดแบบจีน ผู้คนที่ทำธุรกิจกับจีน
โอกาสครั้งแรกในชีวิตเขาไม่น่าเชื่อว่ามาตอนเรียนอยู่ปีสาม มีบริษัทของคนจีนมาลงทุนทำท่าทรายแต่ขาดทุนเยอะมาก กำลังจะเจ๊งจะปิดบริษัท เพื่อนของคมสันต์เลยชวนให้ไปคุยจนได้เข้าไปเป็นผู้จัดการ เด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรจะเสียแบบคมสันต์ เข้าไปถึงก็รื้อเอาคนเก่าออก ล้างทุจริต โละเครื่องจักร กำไรมาก็ไปซื้อที่ที่มีทราย ปรับราคาใหม่ จนบริษัททำกำไรได้
1
ผมถามคมสันต์ว่า ทำไมเจ้าของถึงไว้ใจและปล่อยให้เด็กเรียนปีสามทำอะไรก็ได้แบบนั้น …ม้าที่ใกล้ตาย จะขอรักษายังไงก็ได้ เป็นคำตอบแนวจีนๆจากคมสันต์เมื่อได้ยินคำถามของผม
หลังจบ คมสันต์ก็ไปเจ๊งกับโรงเรียนสอนภาษาไทยให้คนจีน ได้บทเรียนความล้มเหลวมาพอสมควร แต่มาเริ่มรวยจากการเป็นนายหน้าอสังหาฯ ทำเงินเก็บได้หลายร้อยล้านบาท แต่งงานกับภรรยาชาวจีน มีลูกน่ารัก ชีวิตก็น่าจะเป็นที่น่าพอใจ แต่คงไม่ใช่คมสันต์ผู้คลุกคลี เดินทางไปเห็นและมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ start up จีนอยู่
1
หลังจากนั้นคมสันต์ก็ไปทำธุรกิจขนส่งจากต่างประเทศทั่วโลกไปกระจายเข้าจีน ทำเงินได้อยู่ไม่น้อย แต่ที่สำคัญคือได้เห็น ได้เข้าใจความก้าวหน้าของจีนในด้านต่างๆจนเห็นช่องว่างที่เมืองไทยยังไม่มีขึ้นมา
ช่องว่างที่คมสันต์เห็นก็คือค่าขนส่งของไทยแพงกว่าจีนหลายเท่าทั้งๆที่พื้นที่ของไทยเล็กกว่ามาก แถมภาพที่คนไทยต้องไปเข้าแถวรอส่งสินค้าตามจุดให้บริการต่างๆก็ดูห่างไกลกับจีนที่บริษัทไปให้บริการรับสินค้าจากหน้าบ้านเลย คมสันต์เลยเห็นโอกาสพร้อมฝันใหญ่ที่จะทำธุรกิจโลจิสติกส์ในแบบที่เขาคิดขึ้นมา
คมสันต์เล่าว่าในการทำธุรกิจแบบนี้ให้ใหญ่ขึ้นมาให้เร็วที่สุดเนื่องจากโอกาสนั้นมีไม่นานเพราะเจ้าอื่นๆก็กำลังขยายขึ้นมาเรื่อยๆ นั้น จำเป็นต้องทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดที่มีในระยะเวลาอันสั้นมาก ก่อนโอกาสจะปิด ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งเงินทุนสูงมาก ใช้ทั้งเทคโนโลยี่ และการทุ่มเงินขาดทุนเพื่อเข้าสู่ตลาด ซึ่งในการขยายเพื่อสร้างฐาน ยอมขาดทุนก่อนนั้นเป็นวิธีของ startup ที่มีความเสี่ยงสูงมาก
1
คมสันต์ในตอนนั้นมีเงินหลายร้อยล้าน ก็เอาเงินทั้งหมดที่มีทุ่มแบบ ALL IN. คมสันต์เล่าว่าถึงกับทะเลาะกับภรรยาอย่างหนักเพราะภรรยากลัวจะหมดตัวจนกระทบถึงลูก เรื่องราวความเชื่อ ความบ้าคลั่งต่อสิ่งที่เชื่อแบบนี้ทำให้ผมนึกถึง elon musk ตอนที่ขายหุ้น paypal ได้เงินจำนวนมากแต่กลับเอาเงินทั้งหมดไปลงทุนกับ tesla จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวแล้วรอดมาหวุดหวิด ….
ทั้งคู่เป็นตัวอย่างความบ้าถึงกับยอมเสี่ยงหมดตัวของจิตวิญญาน startup จริงๆ
วันที่ผมเจอคมสันต์ครั้งแรกนั้น คมสันต์แนะนำคนที่มาด้วยอีกคนว่าเพิ่งรับมาทำงานจากเมืองจีน เป็นผู้บริหารมือทองที่สร้างธุรกิจโลจิสติกส์ที่ปักกิ่ง คมสันต์ชวนอาลีบาบามาร่วมทุนจากการพาคนอาลีบาบามาดูว่าเมืองไทยยังขาดอะไรบ้าง พร้อมดึงคนเก่งจากอาลีบาบามาด้วยการให้ถือหุ้นจำนวนมาก
เขาเล่าว่าเขา Outsource IT ไปจีน คมสันต์ดึงคนเก่งๆมาจากทุกสารทิศ CFO ที่อยู่ใน conference call ด้วยวันนั้นก็ดึงมาจากบริษัทที่ปรึกษาการเงินระดับโลก ผู้บริหารที่ดูแลบุคคลก็มาจากกลุ่มเซนทรัล พร้อมทั้งมีหนุ่มสาวเก่งๆมาทำงานกับเขามากมาย
เขาใจกว้างในการให้หุ้น มีส่วนแบ่งที่ดีกับผู้ที่เข้ามาร่วมสร้างความฝันด้วยกัน เวลาคุยกับเขาเหมือนคุยกับ startup เก่งๆ ของจีน มีความกระหาย มุ่งมั่น เอาทุกกระบวนท่า คนละรสชาติกับ startup ไทยที่มีกลิ่นอายฝรั่งอยู่เป็นส่วนใหญ่
คมสันต์เล่าถึงเวลาที่มีน้อยในการเข้าสู่ตลาด ทำให้เขาต้องทำงานหนักในช่วงสามปีแรกที่ก่อตั้ง เขาบอกว่าที่อาลีบาบาทำงานแบบ 996 คือทำงานเก้าโมงเช้าถึงสามทุ่มหกวัน เขาบอกว่าอาลีบาบาใหญ่แล้ว เขาเพิ่มเริ่มแถมอยู่ในตลาดแข่งขันสูงยิ่งต้องทำงานหนักกว่าอาลีบาบา
เขาบอกว่าคู่แข่งเขาเย็นๆก็กลับหมด แต่เขาทำ 997 ก็คือเก้าโมงเช้าถึงสามทุ่ม เจ็ดวันไม่หยุด มีบางครั้งป่วยจนไอเป็นเลือดก็เคย ..
1
ผมเห็นแววตาของเขาก็เชื่อแบบนั้นว่าเขาพูดจริงทำจริง
คมสันต์มีฝันที่ใหญ่ แต่ระหว่างทางก็ไม่ง่ายเลย เขาพยายามทำธุรกิจขนส่งเอง ไม่หาเฟรนไชส์ เน้นแก้ pain ที่เขาเห็นจากเมืองจีน ไปรับของถึงหน้าบ้านในราคาค่าส่งที่ถูกมาก
ตอนนั้น flash มีคนทำงานในระบบเกือบหมื่นคน เขาใช้ไอทีในการควบคุมงานทั้งหมด เขาโชว์แอพ in house ที่เขาทำขึ้นมาเพื่อควบคุมระบบการทำงานของพนักงานขนส่งหลายพันคนที่ทุกเช้าทุกคนต้องสแกนหน้า เช็คอิน อ่านข้อความที่สำคัญ ตอบคำถามที่จำเป็น
เขาติดตามความเคลื่อนไหว ผลงานการส่ง รวมถึงเรื่องขาดลามาสาย ทุกอย่างอยู่บนแอพ เพราะเขาบอกว่าพนักงานเขาการศึกษาไม่มากและอยู่กระจัดกระจาย เทคโนโลยี่เท่านั้นถึงจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อนำมาซึ่งต้นทุนที่ถูกลงเพื่อที่จะเอาไปแข่งขันได้
คมสันต์มี warehouse ที่ทันสมัย automate ทั้งหมด แต่ก็ผ่านประสบการณ์ของล้นคลัง คนด่าจากความล่าช้ามาหลายรอบเพราะการโตอย่างรวดเร็วจนรับไม่ทัน ค่อยๆทำค่อยๆแก้ เอามือดีจากจีนมาช่วยวางแผน ลงลุยเองแก้ปัญหาหน้าโกดังเอง จนมาถึงวันนี้ได้
Flash express เข้าตลาดมาด้วยกลยุทธ์ราคา แล้วตามด้วยศูนย์บริการที่น่าจะถึงหมื่นแห่ง มีรถวิ่งเกือบสองหมื่นคัน ส่งของเกินล้านชิ้นต่อวัน ปี 2562 flash ขาดทุนเกือบสองพันล้าน แต่ขยายฐานลูกค้าไปอย่างรวดเร็วจนเข้าใกล้คู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในรอบการระดมทุน series D รอบนี้มีผู้ลงทุนระดับประเทศหลายแห่ง เพิ่มทุนอีกสามพันล้านด้วยมูลค่าประเมินสองหมื่นล้านบาท
1
มูลค่าที่สูงนี้เกิดจากฐานลูกค้าที่ทาง flash สามารถต่อยอดไปธุรกิจอื่นเช่น ประกัน ธุรกิจการเงิน รวมถึงการขยายไปต่างประเทศได้อีกมาก เป็น startup ไทยน้อยรายที่มาถึง series D และอาจจะมีโอกาสเป็น unicorn ตัวแรกของไทยได้เลยทีเดียว
เรื่องราวของคมสันต์ แซ่ลีนั้น ทำให้ผมนึกถึงชื่อหนังสือของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ที่ชื่อว่า โลกนี้ไม่ได้มีคำตอบเดียว วิถีของ startup ไทยที่เดินตาม silicon valley ก็เป็นคำตอบหนึ่ง แต่วิถีของคมสันต์เกิดจากการได้ไปเห็นไปเข้าใจมาตรฐานระดับโอลิมปิกของจีนแล้วนำสิ่งที่เห็นทั้งโลกอนาคต วิสัยทัศน์ ความสามารถของผู้คน ความเข้มข้นของการแข่งขัน จนถึงวิถีและวินัยการทำงานแบบ startup จีนมาใช้ในสนามซีเกมส์แบบไทยๆก็เป็นอีกคำตอบหนึ่ง
1
แน่นอนว่าพอใช้มาตรฐานโอลิมปิกในสนามไทยแล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ดูเหมือนจะมากขึ้นไปด้วย
คมสันต์มาไกลมาก และผมก็ลุ้นเอาใจช่วยให้เขากลายเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทยให้ได้
ที่สำคัญคือคมสันต์น่าจะเป็นตัวอย่างของชีวิต start up จริงๆ สำหรับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จในเส้นทางนี้ โดยเฉพาะ startup ไทยที่มีความด้อยกว่าประเทศอื่นในหลายเรื่อง เป็นภาพที่ไม่ได้สวยหรูแต่ต้องแลกมากับความเสี่ยงสูง การทำงานอย่างหนักกว่าคนอื่นอย่างมาก ระดับไอเป็นเลือด ไม่เจอลูกเจอเมียนานนับเดือน
การเห็นและเข้าใจ connection และมาตรฐานระดับโลก รวมถึงการหาทีมระดับโอลิมปิกมาทำงานด้วยกัน เดินสายสุดโหดแบบจีน ไม่ใช่ภาพออฟฟิศสวยๆ การ pitch เท่ห์ๆ แต่งตัวคูลๆ หวังรวยแบบง่ายๆ มีชื่อเสียงแบบเร็วๆแต่อย่างใด
1
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ลืมบอกไปว่า หนุ่มคนนี้ที่ต้นทุนชีวิตไม่ได้มีเหมือนคนอื่น ใช้เวลาสามปี ทุ่มหมดตัวทั้งทรัพย์และเวลา สร้าง startup ตามความฝันด้วยมาตรฐานโอลิมปิกนั้น…
คมสัน แซ่ลี อายุ 29 ปีครับ
บทความนี้ผมเขียนเมื่อตอนที่พบกับคมสันต์ใหม่ๆ ตอนนี้คมสันต์น่าจะอายุ 33 ปีแล้ว หลังจากที่เจอในห้องประชุมและตกใจกับเด็กหนุ่มผิดคล้ำที่ต่างจากทุกคนที่ผมเคยเจอ ที่มีความบ้า มีความฝันและมีความแปลกจนผมต้องขอนัดพบคมสันต์ครั้งแรกที่ร้านกวงอาหารจีนหน้าออฟฟิศคมสันต์ที่แถวรัชดาเพื่ออยากรู้ชีวิตของเขาให้มากขึ้น
จำได้ว่าคมสันต์เล่าแบบซื่อๆถึงชีวิตบ้าระห่ำของเขา และจำได้อีกว่าในตอนนั้นเขาบอกว่าจะไม่พีอาร์ตัวเองใดๆ ไม่รู้จักสื่อใดเลย เคยลงหนังสือฉบับเดียวคือเส้นทางเศรษฐี … เหมือนไม่ได้อยู่ในโลกของธุรกิจไทยอะไรกับเขาเลย
หลังจากนั้้นผมก็ได้มีโอกาสพบกับคมสันต์เรื่อยๆ หลายช่วงเขาก็มาขอคำปรึกษาบ้าง รู้ถึงช่วงเวลาที่ฉิวเฉียดหลายครั้งที่ถ้าไม่ได้เงินเพิ่มทุนก็จะไม่รอด
ได้รับรู้ถึงช่วงวิกฤติของเขาที่ตอนมาพบผมครั้งหนึ่งต้องมีบอดี้การ์ด ใส่เสื้อเกราะกันกระสุนและบอกว่าเพิ่งได้รับกระสุนปืนใส่ซองมาให้เหมือนในซีรีส์สงครามส่งด่วนที่ใช้ชีวิตของคมสันต์เป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง
จนช่วงหนึ่งก็มาเป็นนักเรียน abc ของผมกับพี่ตุ้ม และก็ได้มีโอกาสชวนเขามาสัมภาษณ์บนเวทีอยู่บ่อยครั้ง
ส่วนตัวที่ผมรู้จักตั้งแต่ต้น นอกจากชีวิตที่โหดร้าย สมบุกสมบันเหมือนกับในซีรีส์แล้ว คมสันต์ก็ยังเป็นน้องที่มีน้ำใจเสมอ ชวนมาพูดคุยสัมภาษณ์ก็ไม่เคยปฏิเสธ ชวนเข้า HOW Club ตอนที่ยังเป็นวุ้นอยู่ก็ไม่ถามซักคำ บอกแต่ว่าผมสมัครคนแรกเลยพี่
ล่าสุดคมสันต์ย้ายถิ่นฐานไปทำงานที่ปักกิ่ง ไปๆ มาๆ หลายประเทศที่ดูแลอยู่ ตอนที่คณะผมไปปักกิ่งก็ใช้เวลาสองวันมาพาพวกเราเที่ยว เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ให้บนรถทัวร์ คมสันต์บอกว่าเป็นอาชีพเก่า เพราะเคยเป็นไกด์มาก่อน
มีช่วงสั้นๆที่คมสันต์ขอตัวไปงานโรงเรียนลูก ซึ่งคมสันต์บอกว่าช่วงที่ก่อร่างสร้างตัว ต้องเร่งเผาเทียนทั้งสองด้านเพื่อให้รอดและผ่านด่านเกมส์ start up นั้น แทบไม่มีโอกาสได้เจอลูกเลย แม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ แต่ตอนนี้ได้อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ได้ไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้ว
พอได้ฟังแบบนี้ก็รู้สึกดีใจแทนที่ฝันของเขาเมื่อหลายปีก่อนสำเร็จตามที่ฝันไว้
เมื่อวานบ่าย ผมดูซีรีส์สงครามส่งด่วน หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า mad unicorn จบรวดเดียว 7 ตอน ภาพของเด็กหนุ่มผิวคล้ำ ดูบ้าระห่ำ เต็มไปด้วยความฝันและไม่เหมือนซีอีโอคนไหน
ในวันแรกที่ผมได้เจอคมสันต์ก็คือภาพเดียวกับที่ทุกคนที่ได้ดูจะสงสัยว่าคนอย่างเขานั้นมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่ ออฟฟิศในซีรีส์ที่ดูวุ่นวาย ดูจีนมากๆและโช้งเช้งสุดๆก็เป็นแบบนั้นจริงๆที่ผมเคยไปเห็นมา
ฟังเรื่องเขาบนโต๊ะอาหารวันนั้นแล้วจะรู้สึกเลือดสูบฉีด เชียร์เขาสุดใจ อยากให้มวยรองอย่างเขาเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทยให้ได้ ความรู้สึกก็ไม่ต่างกับการเอาใจช่วยพระเอกและทีมระหว่างดูซีรีส์เรื่องนี้เท่าไหร่นัก
ในวันนั้น ผมเคยทำนายไว้ว่า Flash express จะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของไทย ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ และในวันนี้ ผมก็อยากจะทำนายอีกว่า mad unicorn ซีรีส์นี้จะดังไกลระดับโลก และอาจจะเป็นประตูบานใหม่ที่จะพานักท่องเที่ยวจีนกลับมาไทยก็เป็นได้
และถ้าเป็นแบบนั้น ก็ต้องยกเครดิตให้กับทีมงานของ GDH พี่เก้ง จิระ มะลิกุล คุณวรรณฤดี และผู้กำกับณฐพล บุญประกอบ แบบเต็มๆด้วยผลงานคุณภาพระดับสากลแบบนี้ไปคู่กัน
ขอลุ้นให้ซีรีส์สงครามส่งด่วนนี้ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ในการสร้างความฝันใหม่ในวันที่เรื่องดีๆเหลือไม่เยอะในประเทศ ให้กับเด็กไทยทั้งที่อยากทำธุรกิจ มีแรงฮึดสู้ เข้าใจว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายบนโลกที่ไม่ได้ยุติธรรมตั้งแต่ต้น
รวมถึงเป็นแรงใจให้น้องๆที่อยากทำงานบันเทิง งานครีเอทีฟดีๆได้ฮึกเหิมกันอีกครั้งกันนะครับ….
โฆษณา