2 มิ.ย. เวลา 04:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จับตา “ภาษีการค้าทรัมป์” เมื่อคำพิพากษาแค่ชั่วคราว ประเทศไทย โลกการค้าและการเงินจะรับมืออย่างไร?

คำพิพากษาของศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ (CIT) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 เคยสร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวกชั่วคราวให้กับตลาดโลก โดยสื่อถึงความหวังว่า มาตรการภาษีภายใต้ “Liberation Day Tariffs” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ บังคับใช้อยู่ อาจหมดอำนาจตามกฎหมาย และช่วยคลี่คลายภาระด้านต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
แต่เพียงข้ามวัน ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ กลับสั่ง “ระงับการบังคับใช้” คำพิพากษานั้นอย่างไม่คาดคิด เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม เปิดช่องให้รัฐบาลยังสามารถจัดเก็บภาษีศุลกากรอัตราเดิม (10%-50%) ต่อไปได้ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ ซึ่งอาจกินเวลายืดเยื้อไปถึงปี 2026 หรือ 2027
คำถามที่ตามมา คือ โลกการค้าและการเงินจะรับมืออย่างไร? ล่าสุดข้อมูลจากวิจัย LH (ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์) ชี้ว่า แม้ตลาดการเงินเคยตอบรับเชิงบวกต่อคำพิพากษาเดิมของ CIT เพราะมองว่าภาวะเงินเฟ้ออาจผ่อนคลายลงจากต้นทุนการนำเข้าที่ลดลง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์กลับคำ ผลลัพธ์คือความไม่แน่นอนกลับมาทันที
- นักลงทุนหันกลับไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
- ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากความเชื่อมั่นว่าอำนาจภาษียังอยู่ในมือรัฐบาล
- ตลาดยังไม่สามารถประเมินแน่ชัดว่าทิศทางของห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าจะเป็นเช่นไร
ขณะเดียวกัน ยังมีความเป็นไปได้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อาจเดินหน้ามาตรการภาษีรูปแบบใหม่ ผ่านช่องทางกฎหมายอื่น เช่น
- มาตรา 122 (Trade Expansion Act) ซึ่งให้อำนาจเรียกเก็บภาษีชั่วคราวได้ภายใน 150 วัน
- มาตรา 301 ที่ใช้สอบสวนเชิงลึกและบังคับมาตรการตอบโต้ในกรณีที่เห็นว่าประเทศใดเอาเปรียบทางการค้า
แม้การใช้มาตรา 301 จะใช้เวลานาน แต่หากเดินหน้าจริง ย่อมส่งผลกระทบลึกต่อประเทศคู่ค้าหลัก เช่น จีน เม็กซิโก เวียดนาม รวมถึงประเทศอย่างไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตโลก
  • แล้วไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้?
สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากการชะลอคำพิพากษานี้เริ่มก่อตัวอย่างชัดเจน
- กลุ่มสินค้าอย่าง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหารแปรรูป ที่มีบทบาทในห่วงโซ่สหรัฐฯ-จีน ยังคงเสี่ยงเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูง
- ภาคธุรกิจยังไม่สามารถวางแผนผลิต ต้นทุน หรือสัญญาการค้าระยะกลางได้อย่างมั่นใจ
- บริษัทที่เคยถูกเรียกเก็บภาษีต้องเตรียมเอกสารครบถ้วนหากในที่สุดรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องคืนภาษี
อย่างไรด็ดี รัฐบาลไทยจึงควรใช้ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ เป็นจังหวะในการ เสนอความร่วมมือในลักษณะ sectoral deal กับสหรัฐฯ เพื่อรักษาเสถียรภาพการเข้าถึงตลาด โดยไม่ต้องรอพึ่งระบบ GSP หรือ FTA แบบเดิม
นอกจากนี้ คำพิพากษาของศาล CIT (แม้ยังไม่สิ้นสุด) ควรถูกใช้เป็น “จุดยืน” ในการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีผ่านเวทีอย่าง WTO และ APEC เพื่อคานอำนาจฝ่ายเดียวที่อาจกลับมาอย่างหนักในอนาคต
ท้ายที่สุด สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเคลื่อนไหวทางกฎหมายในสหรัฐฯ แต่คือแรงสะเทือนที่จะสั่นคลอนโครงสร้างการค้าโลก ระบบภาษีนำเข้า และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะยาว
โลกธุรกิจ การเงิน และรัฐบาลประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเตรียมแผนรับมือกับความไม่แน่นอนนี้อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกรณีที่คำพิพากษานี้อาจถูกส่งต่อไปยัง ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ (U.S. Supreme Court) และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิทัศน์การค้าโลกในศตวรรษที่ 21
ที่มา : วิจัย LH
ติดตามข้อมูลด้านเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล กับ ThairathMoney ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
โฆษณา