Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังหลายมิติ
•
ติดตาม
3 มิ.ย. เวลา 00:25 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สงครามส่งด่วน: การผลาญเงินของ Start-Up และกลยุทธ์ลดราคาเพื่อผูกขาดตลาดในท้ายที่สุด
ในธุรกิจยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่กดปุ่มก็ได้สิ่งที่ต้องการ การเติบโตของแอพขายสินค้าออนไลน์ผลักดันให้ธุรกิจขนส่งเติบโตก้าวกระโดดจนมีมูลค่าตลาดกว่าแสนล้าน และนี่คือจุดกำเนิดเรื่องราวในซีรีส์ "สงครามส่งด่วน" ของ Netflix ที่ใครๆต่างพูดถึง
ด้วยความสนุกและบทที่ฉีกขนบซีรีส์แนวธุรกิจ ผู้ชมจะได้ลุ้นตามตัวละครอย่าง " สันติ " ให้ก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในธุรกิจที่ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันอย่างดุเดือด ในแบบที่ “ใครช้า คนนั้นตาย”
เรื่องราวของซีรีส์บอกเล่าผ่านตัวละครเอกชื่อ " สันติ " เด็กดอยสู้ชีวิตที่มีความทะยานอยากในชีวิต
จากสภาพสังคมที่เกิดมาอย่างอดอยากเป็นแรงผลักดันให้สันติต้องดิ้นรนเพื่อความสุขสบายของครอบครัว
วันหนึ่งเขาเห็นโอกาสจากธุรกิจขนส่งในจีนที่ราคาถูกกว่าเมืองไทยกว่าครึ่งทั้งที่เป็นประเทศใหญ่ เขาจึงกระโดดเข้ามาทำธุรกิจขนส่ง ที่เพียงแค่เริ่มต้นก็โดนสอนเชิงจากหุ้นส่วนจอมเก๋า จนต้องออกมาปั้นธุรกิจด้วยตนเองและใช้กลยุทธ์เอาใจผู้บริโภครวมถึงราคาที่ถูกกว่า เป็นกลยุทธ์แบบ “ทุ่มทุน” เพื่อดึงส่วนแบ่งการตลาดและลูกค้า
ในซีรีส์ เราจะเห็นบริษัท Start-Up ที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ทุ่มตลาด ฟาดฟันกันให้ตาย โดยหารู้ไม่ว่าการแข่งขันแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น อาจกำลังพาพวกเขาไปสู่จุดจบเร็วกว่าที่คิด
Start-Up หลายแห่งในชีวิตจริงต่างก็เดินเส้นทางเดียวกันนี้มาแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนกับธุรกิจส่งอาหารและเดินทาง ทั้ง Uber, Grab ,Foodpanda และ LINE MAN ที่ต่างก็ใช้กลยุทธ์ “เบิร์นเงิน” ที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาลเพื่อแลกกับผู้ใช้งานใหม่และส่วนแบ่งตลาด
การผลาญเงินคือกลยุทธ์ ไม่ใช่ความโง่
ในทางธุรกิจ กลยุทธ์เบิร์นเงินไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการ “วางเดิมพัน” ครั้งใหญ่เพื่อเป้าหมายระยะยาว นั่นคือ “การผูกขาดตลาด” เมื่อไม่มีคู่แข่งแล้ว บริษัทสามารถกำหนดราคาได้ตามใจชอบ และเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผู้บริโภคที่เคยได้รับบริการในราคาถูกจนเคยตัว
ซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” สะท้อนภาพนี้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเจ้าเล็กต้องแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ที่มีสายป่านยาวกว่า เพื่อยึดพื้นที่ตลาดผู้ชนะไม่จำเป็นต้องดีที่สุด แต่ใครอึดที่สุดคนนั้นคือผู้รอด
เราจะเห็นในหลายประเทศ เช่น Uber กลืนคู่แข่งทั้งหมดและในบางภูมิภาคที่ Grab ซื้อกิจการของ Uber เพื่อครองตลาดเพียงรายเดียว พฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวงการเทคโนโลยี และซีรีส์นี้ก็สะท้อนการต่อสู้นั้นได้อย่างเจ็บแสบ
ในช่วงแรก ผู้บริโภคดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะ มีคูปองแจก มีส่วนลด ส่งฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย แต่พอคู่แข่งหายไปหมด ราคาก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การบริการก็แย่ลงตามต้นทุนที่ถูกบีบ เพื่อเน้นผลกำไรสูงสุดคืนแก่เจ้าของเงินทุน ท้ายที่สุด ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายแพงกว่าเดิมภายใต้การผูกขาดที่ดูเหมือนไม่มีทางเลือก
เมื่อเหลือเพียงไม่กี่รายในตลาดที่ยังยืนหยัดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นถัดมาคือการ “ตกลงกัน” ในราคาหรือการแบ่งส่วนตลาดอย่างไม่เป็นทางการ เช่น อาจมีเพียงสองเจ้าใหญ่ที่ “แกล้งทำเป็นแข่ง” แต่เบื้องหลังกลับควบคุมราคาไม่ให้ลดต่ำเกินไป ต่างฝ่ายต่างไม่บุกตลาดของกันและกัน เพื่อให้ผลกำไรของทั้งสองฝ่ายยังคงสูงอยู่
นี่คือภาพสะท้อนของการฮั้วในโลกธุรกิจยุคใหม่ ที่แม้จะไม่ใช่การลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากการฮั้วแบบเดิม
ซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” อาจเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่บทเรียนในเรื่องนั้นจริงยิ่งกว่าความจริง ในโลก Start-Up ที่ผู้ชนะกินรวบ ผู้แพ้ล้มหายตายจาก และผู้บริโภคกลายเป็นเหยื่อในระยะยาว
นักลงทุนต้องตั้งคำถามว่าเงินที่ใส่ลงไปนั้นนำไปใช้เพื่อสร้างคุณค่าอย่างแท้จริง หรือแค่เผาให้แพลตฟอร์มดูยิ่งใหญ่ชั่วคราว ขณะที่ผู้บริโภคและสังคมเองต้องมีความรู้เท่าทันเกมธุรกิจนี้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของ “ราคาถูกชั่วคราว” ที่นำไปสู่ “ราคาแพงถาวร” ในภายหลัง
"สงครามส่งด่วน" จึงไม่ใช่แค่ซีรีส์บันเทิง แต่มันคือบทสะท้อนของโลกธุรกิจที่โหดร้าย การแข่งขันแบบหักเหลี่ยมเฉือนคม และระบบทุนที่พร้อมจะแลกทุกอย่าง เพื่อชัยชนะในเกมสุดท้ายที่ชื่อว่า "การครองตลาด"
และเมื่อสงครามจบลง สิ่งที่เหลืออยู่ อาจมีแค่เศษซากของ Start-Up มากมาย และรอยยิ้มบางเบาของผู้ชนะเพียงไม่กี่ราย... ที่พร้อมจะตั้งราคาตามใจพวกเขาเอง
ธุรกิจ
ภาพยนตร์
แนวคิด
1 บันทึก
5
2
4
1
5
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย