3 มิ.ย. เวลา 02:12 • ปรัชญา

อัปเกรดสมอง 5 จังหวะ : ปลดล็อกความคิดที่จำกัด สู่ชีวิตเวอร์ชันที่ดีที่สุด

ผมเชื่อว่าหนึ่งในปัญหาที่รบกวนใจของเรามากที่สุดอย่างหนึ่งคือ การเสพสื่อที่ไหลทะลักตลอดทั้งวัน สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การจูงความสนใจของเรา แต่ยังเป็นการเขย่างานและความสัมพันธ์ให้แย่ลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น วันทำงานที่ควรใช้สมาธิต่อเนื่องสัก 90 นาที กลับถูกกระชากออกจากโฟกัสทุก 5 - 7 นาที ไลน์ ป๊อปอัปข่าวด่วน คลิปสั้นในฟีด TikTok ที่อัลกอริทึมเด้งขึ้นมาตอนเราตั้งใจจะพัก 1 นาที
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่าแต่ละครั้งที่เราถูกขัดจังหวะ สมองต้องใช้เวลาฟื้นคืนสมาธิเฉลี่ย 23 นาที (Attention Residue) นั่นหมายความว่าการ “เช็กอะไรแปบเดียว” วันละ 15 ครั้งเท่ากับเกือบ 6 ชั่วโมงที่สมองวนอยู่ในโหมดกึ่งหลุดโฟกัสตลอดวัน งานจึงเสร็จช้าลง ขณะที่ความเครียดกลับเพิ่มขึ้นเพราะรู้สึกทำงานไม่ทัน
ผลกระทบไม่ได้จบในออฟฟิศ มื้อเย็นกับเพื่อนหรือครอบครัวกลายเป็นการนั่งก้มดูฟีดคนละจอ ทำให้คู่สนทนารู้สึกถูกเมินเหมือนคุยกับผนัง โดยเฉพาะคู่รัก งานศึกษาของมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์รายงานว่าคู่รักที่โดน "ก้มดูฟีด" บ่อยมีระดับความพึงพอใจในความสัมพันธ์ต่ำลง และมีแนวโน้มซึมเศร้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลไกเบื้องหลังคล้ายกัน เพราะสมองถูกฝึกให้โหยรางวัลด่วนจากการปัดหน้าจอ จึงให้ค่าการสนทนาความเร็วต่ำตรงหน้าแค่เสียงพื้นหลัง
หัวใจสำคัญคือการมีสติกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่หลง การอัปเกรดสมองจึงเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้ เพราะมันเป็นทักษะเอาตัวรอดขั้นพื้น เพราะหากเราปล่อยให้ระบบประสาททำงานด้วยวงจรที่สร้างขึ้นตั้งแต่เด็ก เมื่อยังไม่มีมือถือ หุ่นยนต์ และข้อมูลล้นโลก สมองจะตอบสนองด้วยโหมดเอาตัวรอดเดิม ๆ เช่น วิตก วนคิด หรือเสพติดรางวัลด่วน ผลวิจัยด้านสุขภาพจิตทั่วโลกในทศวรรษล่าสุดแสดงแนวโน้มเดียวกัน ภาวะซึมเศร้า ความเครียดเรื้อรัง และการเสพติดดิจิทัลพุ่งขึ้นตามความเร็วของโลก
เราอาจดำรงชีวิตต่อไปได้โดยไม่อัปเกรดสมอง แต่จะต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งด้านสุขภาพจิต ประสิทธิภาพ และความพึงพอใจในชีวิต ดังนั้น การลงแรงอัปเกรดวงจรความคิดจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับสภาพสังคมปัจจุบันอย่างแท้จริง วัตถุประสงค์ของ “การอัปเกรดสมอง” ตามแนวคิด 5 จังหวะ คือการใช้หลักสมองพลาสติก (Neuroplasticity) รีโปรแกรมวงจรประสาทเดิมที่ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ลบหรือความเชื่อจำกัด ให้กลายเป็นวงจรใหม่ที่สนับสนุนชีวิตมากกว่าเดิม
การอัปเกรดสมองไม่ใช่เพียงการคิดบวก แต่คือการสร้างสถาปัตยกรรมประสาทชุดใหม่ที่หนุนให้เรารู้เท่าทันความคิด สร้างความสุขแบบยั่งยืน และขับเคลื่อนพฤติกรรมไปในทิศเดียวกับเป้าหมายชีวิต เพราะสมองของเราเขียนทับได้ตลอดชีวิต หลักฐานจากงานประสาทวิทยาสมัยใหม่ยืนยันว่า วงจรประสาทจะหนาหรือบางลงตามสิ่งที่เราใช้ซ้ำหรือปล่อยทิ้ง
ในหนังสือ The Myth of Normal  ผู้เขียน กาบอร์ มาเต ผู้เชี่ยวชาญด้านความเครียด การเสพติด และบาดแผลในวัยเด็ก ได้นำหลักการที่สามารถรักษาผู้ป่วยย้ำคิดย้ำทำ (OCD) และเสนอขั้นตอนรีไวร์สมองไว้ในหนังสือ The Mind and the Brain ที่เขียนโดย เจฟฟรีย์ ชวาร์ตซ์ แห่ง UCLA โดยมาเต ได้ปรับจาก 4 ขั้นตอนเป็น 5 ขั้นตอนที่น่าสนใจ
วิธีเดียวกันนี้สามารถนำมาปลดล็อกความเชื่อที่จำกัดตัวเองได้ทุกชนิด ตั้งแต่เสียงในหัวที่ว่า "ฉันไม่ดีพอ" ไปจนถึงแรงผลักให้รับผิดชอบความรู้สึกของคนอื่นตลอดเวลา ต่อไปนี้คือเวอร์ชันปรับขยายซึ่งผู้เขียนนำมาใช้กับผู้อ่านทั่วไป โดยค่อย ๆ พาออกจากภวังค์เดิมและสร้างวงจรใหม่ที่เกื้อหนุนชีวิตมากกว่าเดิม
ขั้นที่ 1 กำหนดชื่อใหม่ (Rename) ทันทีที่จับได้ว่าความคิดลบโผล่มา ให้เรียกมันตามจริงว่าความคิดไม่ใช่ ความจริง เช่น ตอนนี้ฉันกำลังมีความคิดว่า "ฉันต้องแข็งแกร่งตลอดเวลา" การเรียกชื่อเช่นนี้ปลุกสมองส่วนผู้สังเกต (Prefrontal cortex) ให้ลุกขึ้นยืน แยกตัวเราออกจากเนื้อหาที่เคยหลอมรวมเป็นหนึ่งกับอัตลักษณ์
ขั้นที่ 2 ให้เหตุผลใหม่ (Reframe) การอธิบายที่มาของความคิดอย่างแม่นตรง นี่คือสัญญาณเก่า ๆ จากวงจรประสาทที่ก่อตัวในวัยเด็ก ไม่ใช่คำพิพากษาถาวรเกี่ยวกับคุณค่าตัวเรา การมองแบบนี้เติมความอยากรู้อย่างกรุณาลงในกระบวนการแทนที่จะโทษตัวเอง เราเพียงรับรู้ว่าเสียงเหล่านี้เป็นเศษซากกลไกเอาตัวรอดในอดีต แล้วเลือกตอบสนองใหม่ในปัจจุบัน
ขั้นที่ 3 กำหนดความสนใจใหม่ (Refocus) อย่าพยายามต่อสู้ตรง ๆ กับความเชื่อเก่า แต่ให้ซื้อเวลา ประมาณ 15 นาที แล้วเบนสมองไปทำกิจกรรมที่จุดไฟ ไม่ว่าจะเป็น เดินเร็ว เล่นดนตรีต่อเนื่องไม่กี่นาที หรือหยิบโมเมนต์อบอุ่นกับคนที่รักมาทบทวน การเปลี่ยนจุดโฟกัสสั้น ๆ เช่นนี้ลดพลังโดพามีนฉับไวจากความคิดลบ และเปิดทางให้ร่างกายสัมผัสประสบการณ์เชิงบวกโดยไม่ขยายวงจรเสพติดเดิม
ขั้นที่ 4 กำหนดคุณค่าใหม่ (Revalue) สังเกตอย่างไม่เอนเอียงว่าความเชื่อนั้นให้หรือพรากอะไรจากชีวิตด้านสุขภาพ อารมณ์ ความสัมพันธ์ และโอกาส ลองถามตนเองว่าแท้จริงแล้วมันปกป้องอะไรอยู่ หรือเพียงสร้างความเจ็บปวดไร้ค่า การเห็นต้นทุน ผลตอบแทนเช่นนี้ทำให้สมองค่อย ๆ ลดระดับความสำคัญของเสียงเก่าในอดีต แล้วปล่อยพื้นที่ให้ความหมายใหม่เข้ามาแทน
ขั้นที่ 5 สร้างใหม่ (Recreate) เมื่อวงจรเดิมอ่อนแรงลง จึงเป็นเวลาวาดภาพตัวตนที่อยากเป็นมนุษย์ที่คู่ควรกับความรัก มีความฝัน และพรสวรรค์เฉพาะตัว เราสามารถเขียนคุณค่าหลัก ความตั้งใจ ภาพชีวิตที่ต้องการลงบนกระดาษ เห็นมันชัด ๆ แล้วเลือกกิจกรรมเล็ก ๆ ที่สอดคล้องกับภาพใหม่ทุกวัน ยิ่งปฏิบัติซ้ำ วงจรประสาทใหม่ยิ่งหนาแน่น เสียงจำกัดเดิมจะค่อย ๆ เบาลงและหายไปในที่สุด
ห้าขั้นตอนจากทั้ง เจฟฟรีย์ ชวาร์ตซ์ และ กาบอร์ มาเต ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ มันคือวิธีการที่เราคุ้นเคยกันดี กับการรับมือกับสิ่งกวนใจและสร้างชีวิตให้มีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้นเราจึงสัมผัสกับขั้นตอนดังกล่าวนี้ได้ง่ายขึ้น และสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่ายเช่นเดียวกัน
การฝึกห้านาทีด้วยห้าขั้นตอนนี้ทุกวันดีกว่าปล่อยให้เสียงเดิมขโมยพลังงานทั้งชีวิต เพราะเราอาจไม่ได้เลือกโค้ดสมองที่ติดตั้งในวัยเด็ก แต่วันนี้เรามีสิทธิ์รีไวร์หรืออัปเกรดมันให้สอดรับกับชีวิตที่ต้องการจริงชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่า ความรัก และศักยภาพในการสร้างสรรค์ไม่รู้จบ
โลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจำเป็นจะต้องสร้างสถาปัตยกรรมประสาทชุดใหม่ที่หนุนให้เรารู้เท่าทันความคิดที่ฟุ้งซ่านตามโลกที่หมุนไป
คาลอส บุญสุภา
อ้างอิง
Maté, G., & Maté, D. (2022). The myth of normal: Trauma, illness & healing in a toxic culture. Vermilion.
1
โฆษณา