3 มิ.ย. เวลา 06:56 • กีฬา

วิตินญ่า : จากตัวสำรองวูล์ฟส์ สู่ปรมาจารย์แดนกลางที่พาเปแอสเช ผงาดแชมป์ UCL | Main Stand

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2024-25 ได้บทสรุปเป็นที่เรียบร้อย หลัง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เอาชนะ อินเตอร์ มิลาน อย่างท่วมท้น ด้วยสกอร์ 5-0 คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ
แน่นอนว่าสปอร์ตไลท์จะต้องสาดส่องไปหาผู้จัดการทีมอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ และแข้งที่มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด ทั้ง อัชราฟ ฮาคิมี่, เดซีเร่ ดูเอ้ ที่ยิงสองประตู, ควิชา ควารัตสเคเลีย รวมถึง เซนนี่ มายูลู่ ที่ยิงประตูปิดท้าย
แต่ในขณะเดียวกันแข้งที่ปิดทองหลังพระในเกมนี้คงหนีไม่พ้น วิตินญ่า กองกลางเลือดโปรตุกีส ที่บัญชาเกมตลอด 90 นาที แถมมีหนึ่งแอสซิสต์ให้เห็นอีกด้วย ... อย่างไรก็ตามหลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เมื่อฤดูกาล 2020-21 วิตินญ่า ยังเป็นตัวสำรองของวูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมกลางตารางในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อยู่เลย
เส้นทางฟุตบอลจากตัวสำรองของวูล์ฟแฮมป์ตัน สู่ปรมาจารย์แดนกลางที่พา เปแอสเช ผงาดแชมป์ UCL เกิดขึ้นได้ย่างไร ติดตามได้ที่ Main Stand
ล้มลุกคุกคลาน
สมัยเยาวชน วิตินญ่า เริ่มต้นเส้นทางสายฟุตบอลที่สโมสรเดสปอร์ติโว ดาส อาเวส (Desportivo das Aves) ในบ้านเกิด ซึ่งเป็นสโมสรที่คุณพ่อของเขาเคยสังกัดอยู่ ก่อนที่ วิตินญ่า จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรปินเฮยรินโญส เดอ ริงเก้ (Pinheirinhos de Ringe) และปรากฏว่าที่นี่ทำให้เขาเริ่มฉายแววออกมาจน เบนฟิก้า ยักษ์ใหญ่ของประเทศดึงตัวเขาไปร่วมทีม
วิตินญ่า ถูกส่งไปยังทีมย่อยของเบนฟิก้า ที่ชื่อ โปโวอา เด ลานโฮโซ (Póvoa de Lanhoso) แต่หลังจากนั้นเพียง 3 ปี วิตินญ่า ถูก เบนฟิก้า ประเมินให้ออกจากทีม เนื่องจากมีรูปร่างเล็กเกินไป และเป็นเอฟซี ปอร์โต้ ที่ชนะศึกแย่งลายเซ็น วิตินญ่า เหนือ สปอร์ติง ลิสบอน นำตัวกองกลางวัย 11 ปีมาร่วมทีมได้สำเร็จ
นับตั้งแต่นั้น วิตินญ่า ค่อย ๆ โชว์ศักยภาพของเขาออกมาให้ผู้คนในสโมสรเห็น ไต่เต้าจากระดับเยาวชน สู่ทีมสำรอง กระทั่งขึ้นชุดใหญ่ได้ในที่สุด โดยผลงานของ วิตินญ่า ที่ถือเป็นชิ้นโบว์แดงและสร้างชื่อให้กับเขา คือการพาเอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ยูฟ่า ยูธ ลีก 2018-19 เอาชนะ เชลซี ที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นชื่อดัง ณ ตอนนี้ เช่น คอเนอร์ กัลลาเกอร์, เอียน มัตเซ่น, บิลลี่ กิลมอร์ และมาร์ก เกฮี ในรอบชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์ 3-1
กระทั่งในช่วงหน้าร้อนปี 2020 เอฟซี ปอร์โต้ ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ส่งผลให้พวกเขาต้องปล่อยตัวนักเตะบางรายเพื่อรักษาสถานะทางการเงินให้เป็นไปตามข้อกำหนด
โดย ฟาบิโอ ซิลวา ย้ายไป วูล์ฟส์ ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์, อเล็กซ์ เตลเลส ไปแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์, ฟรานซิสโก โซอาเรส ไปเทียนจิน เตด้า สโมสรในจีน ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ ส่วน วิตินญ่า นั้นไปอยู่วูล์ฟส์ กับ ฟาบิโอ ซิลวา ทว่าเป็นในรูปแบบยืมตัว พ่วงออปชั่นซื้อขาด 17 ล้านปอนด์
วิตินญ่าได้รับการขนานนามว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นองค์ประกอบหลักในแผนการเสริมทัพของวูล์ฟส์ ในซัมเมอร์ดังกล่าว ... อย่างไรก็ตาม ใน 15 เกมแรกในลีกที่ เขาย้ายมาอยู่กับ วูล์ฟส์ วิตินญ่า ได้โอกาสลงเล่นเพียง 58 นาที โดยแบ่งเป็นตัวสำรอง 7 นัด
ซึ่งเหตุผลที่ ณ ตอนนั้น วิตินญ่า ไม่ได้ถูกเรียกใช้งานบ่อยนัก เป็นเพราะเขาอายุยังน้อยแถมเพิ่งย้ายมา และ นูโน่ กุนซือ ก็เลือกเล่นในระบบ 3-4-3 ตรงกลางมี รูเบน เนเวส รวมถึง เจา มูตินโญ่ ปักหลักอยู่
ครั้งหนึ่ง นูโน่ เคยให้สัมภาษณ์หลังเห็น วิตินญ่า ลงเล่นว่าเขาพอใจกับแข้งรายนี้ แต่ยังต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง “พวกเราพอใจกับวิตินญ่า เขาเป็นผู้เล่นที่ยังอายุน้อย แต่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และคุณภาพ”
“เขายังมีหลายอย่างที่ต้องพัฒนาในเกมของเขา โดยเฉพาะเรื่องความแข็งแกร่งทางร่างกายและการปะทะ ซึ่งเป็นสิ่งที่โดยปกติแล้วต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่พรสวรรค์ของเขานั้นชัดเจน วิตินญ่า เป็นตัวเลือกที่ดี และสามารถช่วยทีมได้ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม”
แม้ วิตินญ่า จะจบฤดูกาล 2020-21 กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ด้วยผลงานลงสนาม 23 เกม ทำได้ 1 ประตู 1 แอสซิสต์รวมทุกรายการ แต่ทางวูล์ฟส์ และนูโน่ นั้นรู้สึกว่า วิตินญ่า มีศักยภาพสูงอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงมองเขาว่าจะเก่งอยู่ในระดับเดียวกันกับ เจา มูตินโญ่ หากผ่านการพัฒนาทางกายภาพแล้ว
ทว่าในท้ายที่สุดดีล วิตินญ่า ย้ายมา วูล์ฟแฮมป์ตัน แบบถาวรก็ไม่เกิดขึ้น หลัง นูโน่ ตัดสินใจแยกทางกับสโมสร ขณะที่ บรูโน่ ลาจ กุนซือที่เข้ามารับช่วงต่อก็ไม่ได้สนใจ วิตินญ่า เสียเท่าไร จึงทำให้เขาต้องกลับไปที่เอฟซี ปอร์โต้ แบบเหงา ๆ
เข้าโหมดเซียน
ฤดูกาล 2021-22 วิตินญ่า ได้โอกาสลงเล่นมากขึ้นกับเอฟซี ปอร์โต้ ก่อนจะคุมแดนกลางถึง 47 เกมรวมทุกรายการ ฝากผลงาน 4 ประตู 5 แอสซิสต์ พร้อมพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้นได้อีกด้วย
ทุกสิ่งที่ วิตินญ่า ทำบนสนามถูกจับตามองโดยยักษ์ใหญ่แห่งลีกเอิง ฝรั่งเศส อย่าง เปแอสเช จนในเดือนมิถุนายน 2022 พวกเขายอมจ่าย 34 ล้านปอนด์ดึงตัว วิตินญ่า มาร่วมทีม อย่างไรก็ดีซีซั่นแรกภายใต้การคุมทีมของ คริสตอฟ กัลติเยร์ เหมือน วิตินญ่า จะยังโชว์ของได้ไม่มากเท่าที่ควร
เนื่องจาก เปแอสเช ตอนนั้นมีทั้งลิโอเนล เมสซี่ และคีลิยัน เอ็มบัปเป้ ซึ่งเป็นนักเตะประเภทไม่ค่อยเล่นเกมรับ สิ่งนี้ทำให้ภาระหนักตกมาอยู่ที่แดนกลางของทีม และ วิตินญ่า ก็ถูกตั้งคำถามว่าดีพอสำหรับการออกสตาร์ทตัวจริงหรือไม่
แต่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ช่วยให้ วิตินญ่า แสดงคลาสในสนามได้อย่างเต็มที่ คือการมาถึงของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ในฤดูกาล 2023-24 เพราะกุนซือรายนี้ให้ วิตินญ่า ปักหลักตรงกลาง ซึ่งเป็นบทบาทที่เขาถนัดแต่ไม่ค่อยได้เล่น
วิตินญ่า เริ่มกลายเป็นเหมือนวาทยกรประจำทีม คุมจังหวะช้า-เร็วของเกม อุดรอยรั่วที่ขาดหายไปในเกมรับ ซ้ำยังเริ่มคุกคามฝ่ายตรงข้าม ทำเกมรุกอย่างสม่ำเสมอ ยิงได้ทั้งหมด 9 ประตู เป็นดาวซัลโวร่วมอันดับสามของทีม
“วิตินญ่า เป็นผู้เล่นที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับปรัชญาการเล่นของเปแอสเช กับความคาดหวังของเรา และกับคุณสมบัติที่กองกลางควรมี” หลุยส์ เอ็นริเก้ กล่าว
“เขาเป็นนักเตะที่มีพลังเหลือล้น เขาลงเล่นครบทุกนาทีของเกม และยังอยากซ้อมกับกลุ่มที่ไม่ได้ลงสนามหลังจบการแข่งขัน ดังนั้น วิตินญ่า จึงเป็นผู้เล่นที่น่าสนใจมากสำหรับเรา และผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีเขาอยู่ในทีม”
นอกจากนี้ในนามทีมชาติโปรตุเกส เขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเพื่อนร่วมทีมบางคนเรียกเขาว่า ”the maestro” หรือ “ปรมาจารย์”
ดานิโล่ เปเรยร่า อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติและสโมสรเปแอสเช เคยออกมายกย่อง วิตินญ่า ดังนี้ “เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ผมภูมิใจมาก เพราะผมเคยเห็น วิตินญ่า ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เอฟซี ปอร์โต้ แล้วผมก็ได้เห็นพัฒนาการของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“วิตินญ่า เป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เขามาจากครอบครัวที่อบอุ่นและใกล้ชิดกันมาก ซึ่งช่วยเขาได้จริง ๆ เขาเป็นคนขยัน รู้จักฟังคำแนะนำ และยอมรับคำวิจารณ์ได้ดี”
2024-25 แตกฉาน
หลังบ่มเพาะวิชา ผ่านมาหลายร้อนหลายหนาว สุดท้าย วิตินญ่า ก้าวขึ้นมาเป็นกองกลางเบอร์ต้น ๆ ของโลกฟุตบอลด้วยการพา ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ชูถ้วยแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2024-25 เอาชนะ อินเตอร์ มิลาน ขาดลอย ในรอบชิงชนะเลิศ 5-0
โดย วิตินญ่า ที่อยู่ในสนามตลอดทั้งเกม มีสถิติตัวเลขดังนี้
ความแม่นยำในการจ่ายบอล 90%
สร้างโอกาสทำประตู 4 ครั้ง
เข้าสกัดสำเร็จ 100%
ทำ 1 แอสซิสต์
ทั้งหมดเป็นผลพวงมาจากการที่วิตินญ่า ฝึกฝนจนคุ้นเคยกับระบบการเล่นของหลุยส์ เอ็นริเก้ โดยเขาเคยออกมาอธิบายถึงปรัชญาการทำทีมของหลุยส์ เอ็นริเก้ ได้แบบละเอียดยิบ
“เปแอสเช เริ่มต้นฤดูกาลด้วยหลักการที่เราเข้าใจกันดีอยู่แล้ว และโค้ชพยายามใส่การเคลื่อนไหวเข้าไปมากขึ้น ทุกวันนี้ หมายเลข 6 สามารถเป็น 8, หมายเลข 8 สามารถเป็น 10, หมายเลข 10 กลับมาเป็น 6 ได้”
“และกับแนวรุก คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาจะอยู่ทางซ้าย ขวา หรือตรงกลาง มันยากมากสำหรับคู่แข่ง โค้ชพยายามวางระบบนี้ และผมคิดว่านี่แหละคือกุญแจสำคัญ มันยากมากสำหรับทีมอื่น ไม่ว่าพวกเขาจะไล่เพรสตัวต่อตัว หรือถอยลงไปรับต่ำ"
“นักเตะของเราทุกคน รู้ดีว่าทุกการเคลื่อนไหวมีเป้าหมาย มีจุดหมาย ผู้เล่นในสนามรู้สึกว่าพวกเขาควบคุมสถานการณ์ได้เสมอ เช่น ถ้า อุสมาน เดมเบเล่ ไปอยู่ฝั่งซ้าย เขาก็รู้ว่าต้องทำอะไร ถ้าเขาไปอยู่ขวา หรือยืนในตำแหน่งตรงกลาง เขาก็รู้เช่นกัน ทุกคนรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ว่าอยู่ตำแหน่งใดในสนาม”
“และนั่นคือสิ่งที่สำคัญ เมื่อคุณมีการเคลื่อนที่แบบนี้ คุณก็จะสามารถควบคุมเกมได้ นี่คือทิศทางของฟุตบอลยุคใหม่ ทีมต่าง ๆ มีแท็กติกที่เฉียบคมและจัดระบบอย่างดีเยี่ยม"
และที่สำคัญที่สุดในมุมมองของ วิตินญ่า คือการที่หลุยส์ เอ็นริเก้ บอกให้ผู้เล่นแนวรุกทุกคนวิ่งกลับมาช่วยเกมรับ เพื่อแบ่งเบาภาระเพื่อนร่วมทีมแดนกลางรวมถึงกองหลัง ซึ่งนั่นทำให้วิตินญ่า ถูกใจสุด ๆ กระทั่งมีฟอร์มเทพแบบทุกวันนี้
“มันสำคัญมากสำหรับพวกเรากองกลางเปแอสเช ซึ่งไม่ใช่ผู้เล่นแนวรับโดยธรรมชาติ เราไม่มีโปรไฟล์แบบนั้น ถ้าเราไม่ได้รับการสนับสนุนจากแนวรุก มันจะยากขึ้นมากสำหรับพวกเรา และยากขึ้นสำหรับแนวรับ”
“กุญแจสู่ความสำเร็จของเราคือสิ่งที่โค้ชวางรากฐานไว้ การอธิบายให้นักเตะในแนวรุกเข้าใจว่าหน้าที่ของพวกเขาคือการช่วยเกมรับด้วย ถ้าคุณไม่ลงมา ก็จะมีคนอื่นมาแทนที่คุณ"
วิตินญ่า อาจไม่ใช่ดาวเด่นในสายตาของใครหลายคน แต่เป็นแข้งที่ทำให้เปแอสเชสมบูรณ์แบบ และเป็นกุญแจดอกสำคัญที่เปิดประตูสู่แชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสร
บทความโดย : รณกฤต ตุลยะปรีชา
โฆษณา