3 มิ.ย. เวลา 12:00 • ธุรกิจ

“กฎสามรุ่น” ในธุรกิจครอบครัว

ในซีรีส์ "สงครามส่งด่วน" จาก Netflix มีคำพูดในตอนหนึ่งที่ว่า "พ่อสร้าง ลูกใช้ หลานทำพัง" คำกล่าวนี้เป็นเหมือนคำสาป และเป็นวลีที่ถูกพูดถึงกันมากในแวดวงธุรกิจครอบครัว แต่ข้อเท็จจริงแล้วเรื่องนี้มีน้ำหนักแค่ไหน?
จากข้อมูลโดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจครอบครัวมีอายุยืนยาวกว่าบริษัททั่วไปมาก นอกจากนี้ หลายธุรกิจครอบครัวยังอยู่ในลิสต์ของบริษัทที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก และหลายบริษัทมีศักยภาพในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย (ลองคิดถึงบริษัทครอบครัวอย่าง LVMH, Mars Corp., Nestle เป็นต้น) ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? จอช บารอน และ ร็อบ ลาเชอเนาเออร์ (Josh Baron & Rob Lachenauer) สองผู้แต่งหนังสือ The Harvard Business Review Family Business Handbook ได้พยายามตอบคำถามดังกล่าว ดังนี้
[1] แนวคิดเรื่อง “กฎสามรุ่น” มาจากไหน?
จากการศึกษาบริษัทผู้ผลิตในรัฐอิลลินอยส์ เมื่อช่วงต้นปี ค.ศ.1980 นักวิจัยได้ทำการสุ่มตัวอย่างบริษัท โดยพยายามหาว่าบริษัทไหนยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา จากนั้นพวกเขาได้แบ่งกลุ่มบริษัทออกเป็นช่วงๆ ช่วงละ 30 ปี ซึ่งประมาณว่าคือ หนึ่งรุ่นเท่ากับ 30 ปี พบว่า มีเพียงหนึ่งในสามของธุรกิจครอบครัวในการศึกษานี้ที่ผ่านรุ่นที่สอง และมีเพียง 13% เท่านั้นที่ผ่านรุ่นที่สาม
จากผลการศึกษานี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ 2 ประการ
ข้อที่ 1 ผลการศึกษามักถูกนำไปอ้างอิงแบบผิดๆ
หลายคนมักจะพูดถึงผลการศึกษานี้ว่า “มีเพียง 1 ใน 3 ของธุรกิจครอบครัวที่สามารถเข้าสู่รุ่นที่ 2 ได้” แต่การศึกษาจริงๆ กล่าวว่า “1 ใน 3 สามารถผ่านรุ่นที่ 2 ไปได้ (หรือพ้น 60 ปีไปได้ ไม่ใช่แค่เข้าสู่รุ่นที่ 2 ได้)” นั่นคือความแตกต่างของอายุธุรกิจถึง 30 ปีเลยทีเดียว !
1
ข้อที่ 2 สิ่งที่การศึกษาไม่ได้กล่าวถึงคือการเปรียบเทียบกับบริษัทประเภทอื่น
การศึกษาบริษัทมหาชนที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาจำนวน 25,000 บริษัท ตั้งแต่ปี 1950 ถึง 2009 พบว่าบริษัทเหล่านี้มีอายุเฉลี่ยประมาณ 15 ปี ซึ่งยังไม่ผ่านรุ่นที่ 1 เลยด้วยซ้ำ (ถ้าให้ 30 ปีเท่ากับ 1 รุ่น) นอกจากนี้ ระยะเวลาในการอยู่ในดัชนี S&P 500 ก็ลดลงด้วย ยกตัวอย่าง หากบริษัทหนึ่งถูกจัดให้อยู่ในดัชนีในปี 1958 บริษัทนั้นจะยังคงอยู่ในดัชนีได้ยาวนานถึง 61 ปี
ตัดภาพมาในปี 2012 ระยะเวลาเฉลี่ยที่บริษัทหนึ่งๆ จะอยู่ในดัชนี S&P 500 นั้นลดลงเหลือเพียงแค่ 18 ปี นอกจากนี้ จากงานวิจัยของ Boston Consulting Group ในปี 2015 พบว่าบริษัทมหาชน (Public Company) ในสหรัฐอเมริกามีความเสี่ยงที่จะ “หลุดจากตลาด" ภายใน 5 ปีถึง 32% หมายความว่า เกือบหนึ่งในสามของบริษัทมหาชนจะหายไปจากตลาดในอีกห้าปีข้างหน้า ขณะที่อัตราการออกจากตลาดของบริษัทมหาชนในลักษณะนี้มีเพียง 5% ในปีค.ศ. 1965 พูดง่ายๆ ธุรกิจที่ไม่ใช่ครอบครัวก็ไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวซักเท่าไหร่
1
ข้อที่ 3 การศึกษานี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกว่าทำไมบางธุรกิจถึงหายไป
3
ความขัดแย้งในครอบครัว และปัญหาทางธุรกิจอาจส่งผลกระทบต่อบางธุรกิจครอบครัว แต่ในบางกรณี เจ้าของอาจเพียงแค่ขายธุรกิจของพวกเขาและเริ่มธุรกิจใหม่ ซึ่งนั่นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น "ความล้มเหลว" ที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวไปไม่รอดซะทีเดียว
[2] แล้วตำนานสามรุ่นนี้มีความจริงอะไรบ้าง?
แน่นอนว่าบางครอบครัวอาจเริ่มจากความยากจนไปสู่ความมั่งคั่งและกลับมายากจนอีกครั้ง แต่โดยเฉลี่ยแล้ว หากเราสามารถก้าวไปสู่จุดสูงสุดของ “บันไดแห่งความมั่งคั่ง” ได้แล้ว ครอบครัวของคุณก็จะอยู่ ณ จุดนั้นเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่ง Gregory Clark นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส ได้ประมาณการว่า กระบวนการนี้อาจใช้เวลายาวนานถึง 10-15 รุ่น (หรือราว 300-450 ปี) เลยทีเดียว
2
สรุปแล้ว แม้ว่าธุรกิจครอบครัวของคุณจะล้มเหลว ก็ไม่ต้องกังวลว่า ความมั่งคั่งที่สร้างมาจะอันตรธานหายไปในเวลาอันสั้น
[3] ความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว
ความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวมีความสำคัญไม่เพียงต่อเจ้าของเท่านั้น แต่ยังต่อเศรษฐกิจภาพรวมด้วย หากถามว่า ธุรกิจครอบครัวสามารถเป็นแหล่งจ้างงานหลักทั้งในระดับประเทศและระดับโลกในระยะยาวได้หรือไม่? คำตอบคือได้ !! เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ ธุรกิจครอบครัว...
1
เน้นผลลัพธ์ระยะยาว
แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายรายได้รายไตรมาสเหมือนกับบริษัทมหาชน ธุรกิจครอบครัวมักจะมองในกรอบเวลาที่ยาวนานกว่า พวกเขาคิดในแง่ของ “รุ่น” หรือ Generation ซึ่งช่วยให้พวกเขาอยู่ในจุดที่ดีกว่าและสามารถทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ยาวนานกว่า ตัวอย่างเช่น Robinson Lumber Company ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1893 ตั้งอยู่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ ปัจจุบันมีเจ้าของและผู้จัดการเป็นรุ่นที่ห้าของครอบครัวผู้ก่อตั้ง
1
หัวใจของความสำเร็จของพวกเขาคือ วิธีการทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการอยู่รอดในระยะยาวมากกว่าผลกำไรระยะสั้น บริษัทขายผลิตภัณฑ์ไม้หลากหลายชนิด ซึ่งหากเริ่มต้นสร้างบริษัทจากศูนย์ การรวบรวมผลิตภัณฑ์เหล่านี้เข้าไว้ในธุรกิจเดียวกันอาจไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากชนิด สี และเทรนด์ของไม้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
2
โดยทั่วไปเมื่อผลิตภัณฑ์บางชนิดของบริษัทขายดี ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาจไม่ดี ในช่วงเวลาแบบนี้ กำไรสูงสุดอาจเกิดจากการละทิ้งผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นที่นิยม และหันไปให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ขายดีในขณะนั้น แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้บริษัทตกอยู่ในความเสี่ยงได้ เมื่อรสนิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ค่อยๆ โต…เน้นปลอดภัย
นอกจากนี้ เช่นเดียวกับธุรกิจครอบครัวหลายๆ แห่ง Robinson Lumber ไม่ค่อยกู้เงินจากธนาคาร แม้ว่าหนี้สินจะเป็นวิธีที่ดีในการระดมทุนเพื่อการเติบโตและเพิ่มผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น แต่ก็ทำให้บริษัทเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2
มี “เจ้าของจริง” ดูแล
การเป็นเจ้าของธุรกิจครอบครัวยังนำมาซึ่งข้อได้เปรียบในการแข่งขันในสถานการณ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าการเติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจครอบครัวซึ่งมีเจ้าของที่ใกล้ชิดกับธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และสามารถนำพาธุรกิจผ่านวิกฤตปัจจุบันด้วยความคิดที่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
นั่นหมายถึงการทำงานอย่างหนักไม่เพียงเพื่อรักษากระแสเงินสด แต่ยังเพื่อให้มั่นใจในความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและชุมชนด้วย จากการศึกษาหลายชิ้น ธุรกิจครอบครัวได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นนายจ้างและพลเมืองที่ดีของสังคมมากกว่าคู่แข่งที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวด้วยซ้ำ นี่เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่โดดเด่น ซึ่งเป็นตัวแทนของทุนนิยมในรูปแบบที่ดีที่สุด
บทความห้องเรียนผู้ประกอบการ
โดย นวพล วิริยะกุลกิจ
อ้างอิง: หนังสือ / บทความอ้างอิง : Josh Baron & Rob Lachenauer. (2021). Do Most Family Businesses Really Fail by the Third Generation?. Harvard Business Review.
โฆษณา