6 มิ.ย. เวลา 12:00 • สุขภาพ

8 เทคนิคกินขนมยังไงให้สุขภาพดี

ชื่อหัวข้อเวอร์ไปนิดนึงนะครับ จริงๆ ที่อยากเขียนแชร์ในวันนี้จะเป็นเหมือนการอยู่ร่วมกับขนมอย่างมีสันติภาพมากกว่า
คือ หลายคนชอบคิดว่า ผมกินอาหารสุขภาพ แล้วผมจะไม่กินขนมเลยหรือมองว่าการกินขนม (แป้งกับน้ำตาล) เป็นอันตรายกับสุขภาพ แต่ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยครับ และคิดว่าการกินขนมอย่างมีสติและเข้าใจก็มี ประโยชน์กับสุขภาพได้เช่นกัน คำอธิบายคือแบบนี้ครับ
1. ปริมาณสำคัญมาก
อาหารส่วนใหญ่ไม่ใช่ยาพิษครับ หลายครั้งเราจะชอบได้ยินกันว่า ของนี่อันตราย อันนั้นห้ามกิน กินนี่แล้วเป็นเบาหวาน โรคไต มะเร็ง ฯลฯ แต่ผมคิดว่า อาหารที่เรากินๆ กัน เราไม่สามารถบอกว่าอาหารนั้นไม่ดีกับสุขภาพ โดยไม่ดูบริบทอื่นๆ
เช่น กินมากแค่ไหน กินบ่อยแค่ไหน กินแล้วออกกำลังกายไหม กินแล้วนอนพอไหม กินแล้วยังสูบบุหรี่หรือเปล่า คุณมีโรคประจำตัวอะไรหรือเปล่า ต่อให้เป็นอาหารที่เป็นแป้งขัดขาว มีน้ำตาลเยอะ เป็น ultraprocessed food มันก็ไม่ได้ทำให้คุณสุขภาพแย่ ถ้าคุณไม่ได้กินเป็นประจำ กินเป็นนิสัย และต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
1
2. ของหวานดีต่อใจ
เหตุผลตรงๆ คือ ขนมสำหรับคนส่วนใหญ่มันอร่อย และความอร่อยก็คือความสุขแบบหนึ่งโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิด ยิ่งการได้กินกับคนที่เรารัก เช่น ลูก ครอบครัว เพื่อนสนิท การกินขนมก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้มีความผูกพันกันมากขึ้นได้ และเราก็รู้กันดีกว่า หนึงในปัจจัยสำคัญมากๆ ของการมีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาวคือ มี สังคมที่เรารู้สึกพึ่งพาและไว้ใจได้จริงๆ
3. ถ้าจะกินต้องอยากกินจริงๆ
ปกติผมจะไม่กินพวกขนมหรือแป้งขัดขาว ด้วยเหตุผลว่า “ไม่รู้จะกินอะไร หรือ มันอยู่ตรงหน้า เลยหยิบกิน” เด็ดขาด หรือถ้าอยากกินขึ้นมา ก็จะดูว่าอยากแค่ไหน ถ้าไม่มาก ก็จะข้ามไปก่อนสักพักความยากมันก็จะหายไป แต่จะรอวันที่รู้สึกว่า “อยากกินจริงๆ” และจะเลือกกินเฉพาะของที่ชอบและน่าจะให้เราแฮปปี้มากๆ เท่านั้น ไม่ใช่แค่ขนมอะไรก็ได้
4. ถ้ากินคนเดียวต้อง Mindful eating หรือกินอย่างมีสติ
หมายความว่า เวลากินขนมที่อยากกิน ผมจะไม่ดูหนัง ฟังพอดแคสต์ หรือไถมือถือไปด้วย เพราะถ้าทำแบบนั้น จะเผลอกินเร็ว กินเยอะ และไม่ได้รู้รสชาติอย่างเต็มที่ ถ้ากินก็จะเรียกว่าดื่มด่ำ แล้วตักตวงความพอใจจากขนมให้เต็มที่
แต่ถ้ากินกับคนอื่นๆ เช่น ลูก ครอบครัว เพื่อน ก็จะให้ความสำคัญกับการใช้เวลากับคนที่เรากินด้วยมากกว่า คือ ขนมเป็นข้ออ้างในการมาเจอกัน กินช้าๆ คุยเยอะหน่อย วางช้อนและคุยบ่อยๆ แทนที่จะต่างคนต่างกิน หรือแย่งกันกิน ขนมเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นทางอารมณ์ให้บรรยากาศมันชิลหรือสนุกสนานขึ้นแค่นั้นเอง
5. ไม่จำเป็นต้องกินให้หมด
เราไม่ต้องกินตามปริมาณที่เขาให้มาก็ได้ ปกติคำแรกๆ มักจะอร่อยที่สุด แล้วความสุขจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเรากินไปเรื่อยๆ ถ้าเราสังเกตตัวเองระหว่างกิน หรือ มีสติระหว่างกิน เราจะเรียนรู้ไปเองว่า ตรงไหนที่ควรจะหยุด แล้วเก็บไว้กินต่อ อาจจะฟังดูแปลก แต่ผมทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว จนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว ที่บ้านจะชินที่จะเห็นขนมแหว่งไปนิดนึง ไอติมที่กินไม่หมดแท่งแล้วแช่ไว้หลายวัน แต่ผมมองว่าพวกนี้เป็นทักษะที่ยิ่งทำบ่อยยิ่งเก่ง คือ หยุดกินเมื่อความสุขจากการกินลดลงแล้ว
6. อย่ากินขนมจากถุง หรือจากชิ้นใหญ่ๆ ไม่ซื้อขนาดที่คุ้มที่สุด
เวลากินผมจะแบ่งขนมออกมาก่อนเสมอ เช่น ชีสเค้กหนึ่งชิ้น ผมจะตัดแบ่งเป็น 3 ส่วน แล้วกินแค่ส่วนเดียวก่อน กินเสร็จก็คิดว่า อยากกินต่อไหม ถ้ายังอยากก็ค่อยเดินไปตักส่วนที่สองมากิน แต่ส่วนใหญ่ จะรู้สึกว่า ส่วนเดียวก็หายอยากแล้ว ส่วนที่ 2 และ 3 ก็เก็บไว้กินวันหลัง
พวกขนมถุงๆ ก็จะซื้อถุงเล็กหน่อย ไม่ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน ทำให้ถ้าอยากกินมันหากินได้ยากขึ้น เวลาจะกินก็จะเทออกมาใส่จานเล็กๆ กินหมด ถ้าอยากต่อค่อยเติม มันจะช่วยให้หยุดง่ายขึ้น
วิธีนี้ ผมก็เอาไปใช้กับลูกเหมือนกัน คือ ที่บ้านผม่ได้ห้ามลูกกินขนม แต่ให้กินทีละน้อยๆ แบ่งใส่ถ้วย ซึ่งได้ผลดีมาก เพราะลูกเบรกตัวเอง เก่งมาก เวลากินขนมสามารถบอกว่าพอแล้ว โดยไม่กินจนหมดถุง หรือ กินไอติมหมดแท่ง แต่หยุดแล้วเอาไปใส่ตู้เย็นเพื่อกินต่อในวันหลัง
มันเหมือนเป็นการฝึก “ทักษะการตัดสินใจ” และ “การฟังความต้องการของร่างกาย” ให้กับลูกตั้งแต่ยังเด็ก
7 เช็คให้แน่ใจว่า ที่อยากกินไม่ได้อยากเพราะเบื่อหรือเหงาปาก
จริงๆ ผมเองก็เป็นคนที่กินเพราะเหงาปากค่อนข้างบ่อยเลยนะครับ เพียงแต่ว่า จะพยายามจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้เวลาเหงาปาก ไม่มีอะไรที่เป็นพวกขนมหยิบกินได้ง่ายๆ แต่จะมีเป็นพวกถั่ว โยเกิรต์ ผลไม้ แทน ทำให้ต้องกินของเหล่านี้เมื่อเหงาปาก หรือ ไม่ก็เคี้ยวหมากฝรั่งไปเลย
8. ความหวาน กระตุ้น Dopamine
จำไว้ว่า ความหวาน สามารถกระตุ้น dopamine เหมือนสิ่งเสพติดหลายๆ อย่าง สำหรับคนที่ติดหวานไปแล้ว ให้ลองทำแบบนี้ดู คือ อย่าไปหักดิบ เพราะมันเครียด แต่กินแบบมีสติไปเรื่อยๆ เราจะกินของหวานลดลง เมื่อกินลดลง ความอยากกินของหวานมันจะค่อยๆลดลง คนส่วนใหญ่ สัก เดือนหรือเดือนครึ่งเราก็พอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้
ลองดูนะครับ ถ้าใครไม่ชินอาจจะฟังดูเยอะ แต่จริงๆ มันไม่ได้ยาก หรือ ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตอะไรมากมายเลย แค่ คิดให้ดีว่าอยากกินจริงๆ หรือเปล่า ถ้ากินก็กินแบบ mindful แบ่งกินทีละน้อย แล้วเบรกให้เป็น พอทำไปเรื่อยๆ ไม่นานมันจะเป็นธรรมชาติเองครับ ง่ายมั่กๆ
ส่วนท้ายนี้ขอโฆษณาหนังสือหน่อยนะครับ ถ้าใครชอบเรื่องราวแนวความรู้แบบ นี้ อยากแนะนำให้อ่าน หนังสือที่ผมเขียนด้วย ปัจจุบันเขียนมาแล้ว 9 เล่ม สั่งซื้อหนังสือแบบร้านค้า official พิมพ์ค้นหา "Chatchapolbook" หรือกดที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
💚 Line My Shop : https://bit.ly/3FvsFav
โฆษณา