5 มิ.ย. เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์

ความลับและเรื่องอื้อฉาวของวาติกัน เมื่อองค์กรทางศาสนาอาจจะไม่ได้ขาวบริสุทธิ์เสมอไป

ในช่วงหลัง เราอาจจะเห็นข่าวฉาวที่เกี่ยวข้องกับ “ศาสนา” หรือ “พระสงฆ์” กันบ่อยครั้ง ทำให้หลายคนเสื่อมศรัทธา
แต่อันที่จริง ศาสนากับเรื่องอื้อฉาวนั้นอยู่คู่กันมานานแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ศาสนาพุทธ แต่แม้แต่ “วาติกัน (Vatican)” เอง ก็มีเรื่องราวอื้อฉาวมากมาย
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) มีการพบร่างของ “โรแบร์โต คัลวี (Roberto Calvi)” ใต้สะพานแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ เนื่องจากคัลวีนั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เขาคือนายธนาคารคนสำคัญ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคาร “Banco Ambrosiano” ธนาคารใหญ่ของอิตาลี
คัลวีนั้นได้รับฉายาว่า “นายธนาคารของพระเจ้า (God's Banker)“ เนื่องจากตัวเขาเป็นนายธนาคารคนสำคัญที่ทำธุรกิจอย่างใกล้ชิดกับวาติกัน
โรแบร์โต คัลวี (Roberto Calvi)
ดังนั้น ข่าวการตายของเขาจึงโด่งดัง สะเทือนไปทั่ว และถูกทางการสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ในไม่ช้า ธนาคารของคัลวีก็ล่มสลายลงในปีเดียวกัน ตามมาด้วยข้อสงสัยมากมายที่ผูกโยงเข้ากับกลุ่มมาเฟีย กลุ่มฟรีเมสัน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของวาติกัน
ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ได้มีการสอบสวนคดีนี้อีกครั้ง และพบว่าแท้จริงแล้วคัลวีถูกฆาตกรรมเพื่อปิดปาก โดยธนาคารวาติกันคือองค์กรหลักในการฟอกเงินแก่กลุ่มอาชญากรรมต่างๆ ซึ่งรวมถึงธนาคารของคัลวีด้วย
สถานที่พบร่างของคัลวี
อาร์ชบิชอป “พอล มาร์ซินคัส (Paul Marcinkus)” เป็นผู้บริหารธนาคารวาติกันในช่วงเวลานั้น และได้มีส่วนร่วมในการฉ้อโกงทางการเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องอื้อฉาวนี้
แต่แม้จะมีหลักฐานมากมาย ก็ไม่สามารถนำไปสู่การดำเนินคดีต่อมาร์ซินคัสได้ เพราะธนาคารวาติกันอ้างเอกสิทธิ์แห่งอธิปไตยของรัฐวาติกัน ในขณะที่จุดจบอันน่าเศร้าของคัลวี กลับกลายเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรม
ความเชื่อมโยงทางการเงินระหว่างวาติกันกับกลุ่มมาเฟีย เป็นเพียงหนึ่งในหลายแง่มุมของความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย โดยมาเฟียอิตาลีได้ใช้กิจกรรมทางศาสนาและการบริจาคเงินเป็นเครื่องมือในการแทรกซึมเข้าไปในคริสตจักร พร้อมทั้งขยายอิทธิพลของตนมาเป็นเวลาหลายสิบปี
พอล มาร์ซินคัส (Paul Marcinkus)
กลุ่มมาเฟียซิซิลี ได้ใช้ความเชื่อมโยงกับวาติกันเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการในซิซิลี ซึ่งอันที่จริง นักบวชบางคนก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างนักการเมืองทุจริตกับสมาชิกมาเฟีย ทำให้เส้นแบ่งระหว่างความเคร่งศาสนาและอาชญากรรมนั้นพร่ามัวอย่างมาก
แม้แต่การประณามมาเฟียต่อสาธารณชนของ “สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 (Pope John Paul II)” ก็ยังไม่สามารถตัดขาดความเชื่อมโยงเหล่านี้ได้ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของฝ่ายบริหารในการควบคุมดูแลสถาบันทางศาสนาของตน
นอกจากเรื่องมาเฟียแล้ว ยังมีเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศอีก
สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 (Pope John Paul II)
วาติกันได้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นกันในกรณีการจัดการกับเรื่องอื้อฉาวคดีล่วงละเมิดทางเพศ โดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา คริสตจักรได้ปกปิดข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิด ให้ความคุ้มครองแก่นักบวชที่กระทำผิด และปกป้องพวกเขาแทนที่จะนำตัวมารับโทษตามกระบวนการยุติธรรม
มีรายละเอียดในเอกสารที่แสดงว่ามีความพยายามปกปิดรายละเอียดการกระทำความผิดทางเพศของเหล่านักบวช เปิดโอกาสให้พวกเขาละเมิดทางเพศต่อผู้เยาว์ได้อย่างเต็มที่ มีแง่มุมหนึ่งของระบบกฎหมายศาสนาที่เป็นความลับของวาติกัน
ตัวอย่างความล้มเหลวที่ชัดเจนคือในกรณีของคาร์ดินัล “เบอร์นาร์ด ฟรานซิส ลอว์ (Bernard Francis Law)”โดยลอว์ได้หลบหนีไปยังวาติกันหลังจากอัยการในบอสตันพยายามดำเนินคดีกับเขาในข้อหาอนุญาตให้บาทหลวงที่ล่วงละเมิดยังคงปฏิบัติงานต่อไปได้ อีกทั้งตัวลอว์เองยังได้รับตำแหน่งสำคัญที่วาติกันทั้งๆ ที่มีความผิดชัดเจน ทำให้เกิดความไม่พอใจในระดับโลก มีการประณามว่าวาติกันนั้นให้การคุ้มครองอาชญากร
2
เบอร์นาร์ด ฟรานซิส ลอว์ (Bernard Francis Law)
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา “สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis)” ได้เป็นผู้นำในการผลักดันการต่อสู้กับระบบราชการและความลับในศาสนจักร อย่างไรก็ตาม หลายคนยังเชื่อว่าระบบราชการของศาสนจักรยังคงหลีกเลี่ยงมาตรการความรับผิดชอบอย่างแท้จริง
อีกเรื่องที่กรุงวาติกันถูกกล่าวหาก็คือเรื่องของ “ข่าวกรอง”
เรื่องข่าวกรองที่วาติกันนั้นถูกพูดถึงเพียงเล็กน้อย แต่ก็น่าสนใจ โดยสมาชิกสงฆ์และนักการทูตได้มีการดำเนินกิจกรรมในลักษณะของหน่วยข่าวกรอง และได้ดำเนินเครือข่ายการรวบรวมข้อมูลลับในลักษณะของสถาบันมาอย่างยาวนาน
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (Pope Francis)
ในช่วงสงครามเย็น วาติกันได้วางตัวเองเป็นผู้นำคนสำคัญในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ เนื่องจากมีความร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองตะวันตก โดยมีเอกสารที่ระบุว่าวาติกันได้ให้การช่วยเหลืออาชญากรสงครามชาวเยอรมันหลายรายให้หลบหนีไปยังอเมริกาใต้
หน่วยข่าวกรองของวาติกันยังคงถูกโจมตีว่าไม่โปร่งใส โดยมีการคาดการณ์ว่าแม้แต่ในปัจจุบัน ยังมีเครือข่ายบิชอปและนักบุญทั่วโลกดำเนินกิจกรรมในฐานะของสายลับ
ด้วยเรื่องอื้อฉาวมากมายเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญ
“สมเด็จพระสันตะปาปาทรงมีอำนาจเด็ดขาดจริงหรือ? หรือเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งวาติกันที่ไม่เคยได้รับการตรวจสอบ?
จะเห็นได้ว่า วาติกันอาจจะเป็นเครือข่ายของผลประโยชน์ที่แข่งขันกัน บรรดาคาร์ดินัล ข้าราชการ และพันธมิตรภายนอกแต่ละฝ่ายก็ต่างแย่งชิงผลประโยชน์กันมาโดยตลอด และยังมีปัญหาซ้ำซากเกี่ยวกับการที่สมเด็จพระสันตะปาปาไม่สามารถปฏิรูประบบคูเรีย ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของศาสนจักรที่ต่อต้านการปฏิรูป
และถึงแม้สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจะมีภาพลักษณ์เป็นนักปฏิรูป แต่ก็ถูกต่อต้านโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม มีการรั่วไหลของข้อมูล การก่อกวน และการต่อต้านความพยายามของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในการทำให้ระบบการเงินของวาติกันโปร่งใสและยุติเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ
ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้หลายคนมองว่า ในขณะที่วาติกันประกาศเทศนาคุณธรรมและความเมตตา มีภาพลักษณ์คือองค์กรทางศาสนาระดับโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็กลับเป็นที่หลบซ่อนตัวของอาชญากรและมีส่วนร่วมในอาชญากรรมต่างๆ
1
วาติกันยังคงเป็นขุมอำนาจสำคัญในระดับโลก และกำลังเผชิญกับความท้าทายในหลายๆ ด้าน พร้อมทั้งดำเนินการปฏิรูปสถาบันอย่างแท้จริง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเลือกที่จะปกปิดความลับที่ซ่อนเร้นเอาไว้ต่อไป
โฆษณา