5 มิ.ย. เวลา 06:27 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

PM vs PO = 'ศึกชิงบัลลังก์' หรือ 'บทบาทที่ต้องรวมเป็นหนึ่ง'? 🤝

(‘จริงๆ ควรห้ามแยกส่วน' ถ้าไม่อยากให้ 'นวัตกรรมองค์กรพัง'!) 💥🚀
"PM ทำอะไร? PO ทำอะไร?" คำถามโลกแตกที่ (อาจจะ) มีคำตอบที่ชัดเจนกว่าที่คุณคิด!
ในโลกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยศัพท์แสงเท่ห์ๆ อย่าง Agile, Scrum, Lean 🏃‍♂️💨 หนึ่งในคำถามที่สร้างความสับสน งุนงง และบางครั้งก็ "ดราม่า" ในหลายองค์กรเทคโนโลยี คือความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทของ "Product Manager (PM)" และ "Product Owner (PO)" บางบริษัทมีทั้งสองตำแหน่ง บางที่มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางคนก็สวมหมวกสองใบ จนหลายคนเกาหัวแกรกๆ ว่า "ตกลงใครควรทำอะไรกันแน่?" 🤔
วันนี้เราจะชวนคุณมาคิดให้ลึก เข้าใจง่าย และมองไกลไปถึงอนาคตของบทบาท PM/PO โดยผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือคลาสสิกอย่าง "INSPIRED: How to Create Tech Products Customers Love"
====
💡 1. Product Owner = “คนดู Backlog ไม่ใช่เจ้าของ Vision”???
Product Owner คือบทบาทเฉพาะใน Agile team  (สร้างมาจากบทใน Scrum Franwork ลองไปอ่านกันใน Scrum guide ได้) ที่รับผิดชอบดูแล "Product Backlog" — รายการของสิ่งที่ต้องทำ เช่น ฟีเจอร์ใหม่ การแก้บั๊ก หรือเทคนิคัลเดบต์ เพื่อให้ทีมพัฒนา Product ได้อย่างต่อเนื่องและมีคุณค่า (Value) ต่อทั้งลูกค้าและธุรกิจในทุก Sprint
แต่ความรับผิดชอบของ PO โดย guideline แล้ว คือแค่ “การจัดลำดับความสำคัญของงานจาก Backlog เท่านั้น” ไม่ใช่ผู้ขับเคลื่อน Product Vision, Strategy หรือ Insight เชิงลึกจากลูกค้า
* ลองนึกภาพ PO ที่เก่งมากในเรื่อง Jira, Trello, Scrum Board — แต่อยู่ห่างจากลูกค้า ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างวิสัยทัศน์ ไม่รู้ว่าอนาคตของตลาดกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วเป็นคนเดียวที่ทีม dev ต้องพึ่งพาเพื่อบอกว่า 'เราควรทำอะไรต่อ?'... ฟังดูเสี่ยงมั้ยครับ?
* การที่องค์กรส่ง PM ไปเรียนคอร์ส PO หรือได้ Certificate แล้วคิดว่าเข้าใจ Product Management ทั้งหมดนั้น เป็นเหมือนการมอง Product แค่ "ด้านล่างของภูเขาน้ำแข็ง" — เห็นแค่ task, process, backlog แต่ไม่เห็นบริบทเชิงกลยุทธ์ที่อยู่ใต้ผิวน้ำ ซึ่งสำคัญยิ่งกว่า 🧊
PO อาจเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “ทำอะไรต่อไป” (Next Step) แต่หากไม่มี PM ที่เข้าใจว่า “เรากำลังมุ่งหน้าไปไหน” (North Star) ทีมก็จะเดินเก่งแต่หลงทาง
PO ไม่ใช่ผู้ออกแบบแผนที่ แต่เป็นคนจัดระเบียบเส้นทาง — และถ้าไม่มีคนวาดแผนที่ให้ดีตั้งแต่แรก ก็ไม่มีวันไปถึงจุดหมายได้
====
🔥 2. เมื่อแยก PM กับ PO = “จุดเริ่มของการแตกหักทางนวัตกรรมในองค์กร”
หากองค์กรเป็น “Product Company” ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การแยกบทบาท PM กับ PO เป็นคนละคน ไม่เพียงแต่เป็นสูตรสำเร็จของความสับสน แต่ยังเปิดประตูสู่ 3 วิกฤตหลักที่สามารถสั่นคลอนอนาคตของทั้งทีมผลิตภัณฑ์และองค์กร กล่าวคือ
1. “นวัตกรรมแห้งเหือด (Innovation Drought)” 
* เมื่อ PO เป็นเพียงผู้ดูแล Backlog โดยไม่ได้มีส่วนร่วมในการค้นหาหรือเข้าใจ Pain Point ของลูกค้าโดยตรง
* ทีมพัฒนา (Dev team) ก็จะไม่ได้รับ “Why” ที่แท้จริงว่าทำไมฟีเจอร์นั้นถึงสำคัญ
* และพวกเขาจะกลายเป็นเพียงโรงงานผลิตโค้ดที่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่ทีมที่ร่วมออกแบบนวัตกรรม
2. “คุณค่าถูกบิดเบือน (Distorted Value Delivery)” 
* หาก PO ขาดบริบทเชิงกลยุทธ์ ก็อาจจัดลำดับ Backlog โดยยึดตามเสียงของ Stakeholder ที่ดังที่สุด หรือเรื่องเร่งด่วนระยะสั้น แทนที่จะจัดตาม “Priority เชิงกลยุทธ์” ซึ่งควรสะท้อนสิ่งที่มี Impact สูงสุดต่อเป้าหมายระยะยาวขององค์กร
* ผลคือ “ทรัพยากรถูกใช้ไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่มี leverage”
3. “สุญญากาศความเป็นเจ้าของ (Vacuum of Ownership)” 
* PM วาง Strategy ไว้สวยหรูบนสไลด์ แต่ไม่สามารถส่งต่อวิสัยทัศน์ลงมาถึงระดับ Sprint ได้ เพราะ PO ที่รับช่วงไม่มี Authority, ไม่เข้าใจ Vision และไม่ได้ Empower จาก Leadership อย่างแท้จริง
* ผลที่ตามมาคือ ไม่มีใคร “เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์จริงๆ” ทุกคนแค่ทำหน้าที่ไปวันๆ
“Product Manager ควรเป็นเจ้าของ Vision, Strategy และ Backlog – ในคนเดียวกัน” — ไม่ใช่เพื่อการรวมอำนาจ แต่เพื่อการรวมบริบท (Context Integration) ที่จำเป็นต่อการสร้างนวัตกรรมอย่างยั่งยืน
====
✅ 3. ทำไม PM ต้องเป็น PO ด้วย? ไม่ใช่แค่ควร แต่คือ Must-have
เพราะ PM คือผู้ที่
* เข้าใจลูกค้าอย่างลึก (Voice of Customer)
* รู้จักตลาดและคู่แข่ง (Market Insight)
* วาง Product Vision & Strategy
* มี Business Acumen ที่แท้จริง
* Align ทุก stakeholder + GTM
คนเดียวที่มีบริบทครบคือ PM — และนั่นคือเหตุผลที่ควรเป็น PO ด้วยใน Product Company
การให้ PO ที่ไม่มีบริบทเชิงกลยุทธ์ มาจัด Prioritization คือเหมือนให้ "ผู้จัดคิวหน้าร้าน" เป็นคนตัดสินใจว่าจะปรุงเมนูอะไรให้ร้านอยู่รอด 🍳📉
====
🛠 4. แล้ว AI จะมาเปลี่ยนสมการนี้อย่างไร?
ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนเกมธุรกิจและการพัฒนา product แบบถอนรากถอนโคน บทบาทของ PM/PO จะถูก disrupt อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าทั้งสองบทบาทยังคงใช้ “วิธีคิดแบบเดิม” กับ “เครื่องมือแบบเดิม” องค์กรอาจเจอกับ 3 วิกฤตหลักที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่คือการ 'หลุดวงโคจร' จากโลกการแข่งขันใหม่
1. AI ทำให้การจัด Backlog ทำได้อัตโนมัติ (Automated Prioritization)
* ในอดีต PO ใช้ประสบการณ์และตรรกะเพื่อจัดลำดับ backlog แต่วันนี้ AI สามารถประมวลผลจากข้อมูลผู้ใช้จริง, ข้อมูล usage, revenue impact, และ trend จากตลาดแบบ real-time ได้เหนือกว่ามนุษย์
* ถ้า PO ยังทำหน้าที่แค่ “จัดลำดับงานตามสัญชาตญาณหรือความคุ้นเคย” — AI จะทำได้แม่นยำกว่าในเสี้ยววินาที และองค์กรก็จะเริ่มตั้งคำถามว่า ‘เราจำเป็นต้องมี PO ไหม?’
2. AI เขียน User Story ได้ดีพอๆ กับคนที่ไม่มี context (Content without Connection)
* เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT, Notion AI หรือ Linear มีความสามารถในการสร้าง User Story, Acceptance Criteria และแม้แต่ Test Case ได้ทันทีจาก prompt เพียงไม่กี่คำ
* ถ้า PO ไม่มี Insight เชิงกลยุทธ์ หรือขาด Empathy จริงๆ กับผู้ใช้งาน – สิ่งที่เขียนออกมาก็ไม่ต่างจาก AI…หรืออาจแพ้ AI ด้วยซ้ำ เพราะ AI เขียนได้เร็วกว่าและปรับเปลี่ยนได้อัตโนมัติ
3. Product Vision จะล้าหลัง ถ้าไม่เข้าใจ AI use cases (Vision Blindness)
* AI ไม่ได้เป็นแค่ “เครื่องมือช่วยงาน” แต่มันเปลี่ยน logic ของ business model และความคาดหวังของผู้ใช้ เช่น ลูกค้าเริ่มคาดหวังว่าแอปควรจะแนะนำสิ่งที่ใช่โดยไม่ต้องสั่ง หรือระบบควรวิเคราะห์ได้เองว่าอะไรคือปัญหาก่อนผู้ใช้รู้ตัว
* PM ที่ยังคิดแค่ roadmap แบบ feature-based, หรือยังมอง customer journey แบบ linear จะตกขบวน เพราะมองไม่เห็นว่าการนำ AI มาใช้สามารถ “ปลดล็อกปัญหาเก่าด้วยวิธีใหม่” ได้อย่างไร
ถ้า PM ไม่สามารถเห็นโอกาสใหม่จาก AI และ PO ยังยึดติดกับงานเดิม — ทั้งคู่จะไม่เพียงแค่ ‘ถูกแทนที่’ แต่จะกลายเป็นคอขวดของนวัตกรรมโดยไม่รู้ตัว
🧠 P.O.W.E.R. Model: วิธีปรับตัวของ PM/PO ให้ไม่ถูกแทนที่ด้วย AI
P – Problem Framing: เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า ด้วยวิธีที่ AI ยังไม่เข้าใจมนุษย์เท่า
O – Ownership of Vision: มี narrative ชัดว่า Product นี้จะเปลี่ยนชีวิตคนอย่างไร
W – Workflow Design: ใช้ AI ออกแบบ process แต่ต้องเข้าใจ end-to-end ของ journey
E – Empathy & Ethics: รู้จักตั้งคำถามเชิงคุณค่าที่ AI ไม่สามารถทำได้ เช่น fairness, bias
R – Rapid Learning: ปรับ mindset ให้ test-iterate ตลอดเวลา พร้อมเรียนรู้จาก feedback + AI signal
ถ้า PM/PO ทำได้ครบ POWER นี้ = จะไม่ใช่คนที่ถูก AI แทน แต่เป็นคนที่ใช้ AI สร้าง 10x impact
====
🧭 5. เช็กสุขภาพองค์กรคุณ — PM/PO ใช่หรือมั่วๆ อยู่?
* PM ของคุณมีสิทธิ์เข้าถึงลูกค้าโดยตรงหรือไม่?
* PO ของคุณเป็นคนจัดลำดับตามเสียง stakeholder หรือ strategy?
* Dev team เข้าใจว่ากำลังทำสิ่งนี้ "เพื่อใคร" และ "เพื่ออะไร" หรือยัง?
* PM ของคุณเป็นเจ้าของ backlog หรือรอ PO เป็นคนมาแปลง requirement?
หากคำตอบคือ "ยังไม่ใช่" — องค์กรคุณอาจกำลังอยู่ใน "ภาวะหลงทิศ" และทีมกำลังทำ Product โดยไม่มีเข็มทิศที่ชัดเจน ถึงเวลารื้อระบบบทบาทใหม่ทั้งหมด 🔁
🎯 “เพิ่มเติม” Pain Points ที่หลายองค์กรกำลังเจอแบบไม่รู้ตัว
1. PO จัดลำดับ backlog จากเสียงคนข้างบน ไม่ใช่จากเสียงลูกค้า — ส่งผลให้ Product พัฒนาไปในทิศทางที่ไม่สะท้อนความต้องการตลาดจริง และพลาดโอกาสสำคัญในการแก้ pain point ของลูกค้า
2. PM ไม่ได้ฝังตัวกับทีม dev — เวลาที่ feedback ลูกค้าเข้ามา PM ไม่สามารถนำ insight ไป iterate ได้ทันที ทำให้ความเร็วในการเรียนรู้ (learning velocity) ตกลงเรื่อยๆ
3. Dev ทำงานไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าเพื่อใคร — เหมือนถูกสั่งให้ตอกตะปูโดยไม่รู้ว่าเรากำลังสร้างบ้าน หรือสะพาน? เมื่อไม่มี context ความผูกพันกับงานจะลดลง และ innovation ก็จะหายไปด้วย
4. PO ใช้ AI เป็นแค่ tool ไม่ใช่ force multiplier — เช่น ใช้ช่วยเขียน story แต่ไม่ใช้วิเคราะห์ pattern ของ user หรือคาดการณ์ความต้องการล่วงหน้า ทำให้ AI เป็นแค่ productivity booster แทนที่จะเป็น strategic enhancer
=====
🚀 6. Tactical Move สำหรับองค์กร?
* รวมบทบาท PM+PO เป็นคนเดียว ถ้าองค์กรเป็น Product-first
* เลือกคนที่ "เข้าใจทั้ง customer และ business" ไม่ใช่แค่เก่ง project management
* ฝัง PM/PO ในทีม dev อย่างใกล้ชิด (Embedded team) เพื่อให้ feedback loop เกิดแบบ real-time
* ปรับ mindset ให้เห็น AI เป็น partner ด้าน strategy: ใช้ AI เพื่อ identify trend, detect user friction point, และช่วย prioritize backlog ตาม impact prediction
* พัฒนา "AI-informed Product Process" เช่น Weekly AI Scan เพื่อตรวจจับ signal จาก market, competitor, และ customer behavior
ถ้าองค์กรคุณยังแยก PM กับ PO โดยไม่มี AI integration = เสี่ยงทั้งหลงทิศ และตกขบวน AI พร้อมกันสองทาง!
====
🎯 ดังนั้น ให้คิดว่า “PM คือผู้แต่งบท…PO คือผู้กำกับ”
แต่ในโลกของ Product จริง โดยเฉพาะเมื่อองค์กรต้องการความเร็วแบบ Startup และความแม่นยำแบบ Data-driven คุณต้องเป็นทั้งสองคนนี้ — ถ้าคุณไม่ได้มีทรัพยากรเหลือเฟือ หรือองค์กรที่แยกบทบาทอย่างมีวินัยจริงจัง!!!
“Innovation happens when the person with the Vision also owns the Execution.”
* เมื่อ AI กำลังกลืนกินงานเดิมไปอย่างเงียบ ๆ ความสามารถในการ 'เชื่อม Vision กับ Execution' เข้ากับการ 'รู้เท่าทันศักยภาพของ AI' จะกลายเป็น Superpower ที่ PM/PO ยุคใหม่ต้องมี
* PM ที่มองไม่ออกว่า AI สามารถช่วย Prioritize ได้ดีกว่ามนุษย์ = จะถูกแทนที่
PO ที่ไม่เข้าใจว่าต้องสร้าง Narrative Product จาก Customer Insight จริง = จะถูกลดบทบาท
* Superpower ใหม่จึงไม่ใช่แค่การสื่อสารดี หรือจัดสรร backlog ได้เป๊ะ
แต่คือการรวมบทบาท PM + PO + AI literacy เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
* คุณต้องเป็นทั้ง "นักออกแบบ Vision ที่เข้าใจธุรกิจ" + "นักบริหาร Execution ที่สร้าง Impact วัดผลได้" + "นักวิเคราะห์สัญญาณจากข้อมูล และ AI Partner ที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ AI ตอบโจทย์เชิงกลยุทธ์"
และนี่คือความสามารถที่องค์กรกำลังมองหา — ไม่ใช่แค่ "คนทำงานได้" แต่คือ "คนที่ต่อยอดได้"
“ในยุคที่ AI เขียน roadmap ได้… มนุษย์ที่มีคุณค่าคือคนที่กล้าถามว่า เราควรเขียน roadmap ไปเพื่อเปลี่ยนชีวิตใคร?”
Source มาจากแนวคิดในหนังสือ — “INSPIRED: How to Create Tech Products Customers Love (Silicon Valley Product Group)” by Marty Cagan
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ProductManagement
#POvsPM #AIProductEra
#POWERframework
#MartyCaganInspired
โฆษณา