7 มิ.ย. เวลา 13:49 • การศึกษา

ธุรกิจ >> การเติบโต >> การบริหารภาษีอากร

จากธุรกิจเล็ก ๆ สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ มีอยู่และเกิดขึ้นได้จริงในช่วงระยะเวลา 1 ชีวิตของเรา หลาย ๆ คนทำได้ และทำได้ดี ไอเดียทางธุรกิจมักเกิดขึ้นจากความถนัด ความชอบ หรือความรักในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เมื่อไอเดียเกิดขึ้น การทดลองทำธุรกิจจึงเกิดขึ้น ส่วนมาก เริ่มต้นจากการลองเป็นผู้ค้าขายหรือให้บริการรายเล็ก ๆ ทำในนามบุคคลธรรมดาเพื่อดูตลาด ยอดขาย รายได้ และผลประกอบการ เมื่อผลประกอบการเติบโต มักมีคำถามตามมาว่า
“ฉันควรจดจัดตั้งบริษัทหรือยัง จุดไหนที่กำลังจะบอกว่า ฉันควรจดจัดตั้งบริษัทได้แล้ว”
หากจะตอบคำถามนี้ในมุมธุรกิจ ก็คงต้องถามต่อว่า ลูกค้าและยอดขายที่ได้มาเป็นลูกค้าประจำมั้ย แนวโน้มการเติบโต เป็นแบบคงที่ หรือ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุกไตรมาส หรือทุกปีมั้ย การเป็นบุคคลธรรมดามีอุปสรรคอะไรกับการได้มาซึ่งลูกค้าหรือไม่เมื่อเทียบกับการเป็นบริษัท (จุดตัดอยู่ที่แนวโน้มการเติบโต)
แต่หากจะตอบคำถามนี้ในมุมนักภาษีอากร ก็คงต้องถามว่า รายได้จะเกิน 1.8 ล้านบาทหรือยัง ถ้ายังการเป็นบุคคลธรรมดา ภาระหน้าที่ด้านการจัดให้มีผู้ทำบัญชีไม่มีเหมือนการเป็นบริษัท บุคคลธรรมดาสามารถลงบัญชีรายรับ รายจ่ายได้เอง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างทำบัญชี ปิดงบ สอบบัญชี ได้ และบุคคลธรรมดาเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นะ อยากจดในนามบุคคลธรรมดา หรือ จดในนามบริษัทดี (จุดตัดอยู่ที่ ฐานรายได้ขั้นต่ำที่ถูกบังคับให้ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม)
หากตัดสินใจแล้วว่าจะจดจัดตั้งบริษัทเพราะรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทแล้ว เมื่อดำเนินธุรกิจไปซักระยะ ซึ่งอาจจะใช้เวลา 1 ปี 3 ปี 5 ปี ปรากฎว่า รายได้บริษัทมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีรายได้เกิน 30 ล้านบาท (ทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท) ในมุมธุรกิจก็ดำเนินต่อไป แต่ในมุมนักภาษีอากร คงต้องมาคิดเพิ่มเติมกันหน่อยว่า ยังอยากจะใช้สิทธิประโยชน์ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล SMEs อยู่หรือไม่
ถ้าคำตอบคือ ไม่เป็นไร ก็ทำธุรกิจยิงยาว ๆ ต่อไปด้วยอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแบบ Non SMEs แต่ถ้าคำตอบคือ ยังอยากใช้สิทธิของ SMEs อยู่ ก็อาจจะต้องพิจารณาจดบริษัทเพิ่มขึ้นภายใต้การเข้าถือหุ้นของบริษัทเดิมในบริษัทใหม่ เพื่อการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี SMEs ต่อไป ทั้งบริษัทแม่และบริษัทลูก
หากตัดสินใจทางธุรกิจ ว่าไม่เป็นไร ฉันจะเติบโตไปเรื่อย ๆ ไปเป็น NON SMEs ก็ไปกันต่อยอดรายได้เริ่มทะลุ 30 ล้านบาทต่อปี และไปกันต่อยาว ๆ ที่หลักร้อยล้านบาท พันล้านบาท และเริ่มมีช่องทางขยายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสายธุรกิจเดิม ที่มีสาขาเพิ่มขึ้น การเติบโตไปยังตลาดต่างประเทศ หรือ สายธุรกิจใหม่ แตกดอกออกผลเป็นกลุ่มบริษัทที่มีรายได้หลักพันล้านบาท
การบริหารภาษีระดับเข้มข้นจะเริ่มต้นแถว ๆ นี้ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างกลุ่มบริษัท การพิจารณาสิทธิประโยชน์ด้าน BOI การพิจารณาฐานการผลิตในต่างประเทศ (อนุสัญญาภาษีซ้อน/FTA ) การควบรวม (Amalgamation) หรือ การ Merger , Transfer Pricing, Due Diligence เป็นต้น
และในที่สุดเมื่อธุรกิจหรือกลุ่มธุรกิจเริ่มเป็นที่สนใจในระดับมหาชน และ กลุ่มธุรกิจก็เริ่มต้องการระดมทุนจากนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย ที่สนใจในธุรกิจของเรา กระบวนการเพื่อเข้า IPO (บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) ก็จะได้เริ่มขึ้น และความเข้มข้นในการบริหารภาษีก็ไม่แพ้ระดับก่อนหน้า อาจจะต้องเพิ่มเติมด้วยหลักเกณฑ์ภายใต้ความตกลงกับ OECD (Tax), BEPS, Pillar 1 Pillar 2 เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ธุรกิจที่เติบโตขึ้น จะมาพร้อม บทบาทและหน้าที่ทางด้านภาษีอากรที่มากขึ้น ตั้งแต่ระดับความซับซ้อนน้อย ปานกลาง ไประดับซับซ้อนมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ควรให้ธุรกิจนำ มากกว่า การให้ภาษีชี้นำด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี
เมื่อธุรกิจนำแล้ว นักภาษีอากรจะหาความเหมาะสมของหลักการหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทางด้านภาษีอากร ซึ่ง คำว่า ประสิทธิภาพสูงสุดด้านภาษีอากร ไม่ได้หมายถึง เพียงแค่ การจ่ายภาษีให้น้อยที่สุด แต่ยังหมายถึง การบริหารภาษีอากรให้เหมาะสมในทุกมิติ และที่สำคัญจะต้องไม่ถูกประเมินภาษีย้อนหลัง ซึ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารภาษีอากร
ขอบคุณรูปภาพประกอบบทความจาก pixabay
#VIStylebyMooduang #สำนักงานกฎหมายภาษีสยามลอว์ #ธุรกิจ #การบริหารภาษีอากร
โฆษณา