8 มิ.ย. เวลา 02:19 • ปรัชญา

หลงทางสร้างภูมิทัศน์ ความล้มเหลวสร้างนวัตกรรม

ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยโทษตัวเองหากหลงทางในบางเวลา (ถ้าไม่รีบมาก) วันที่เกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย ผมเดินจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปถึงวัดเบญจมบพิตร เป็นระยะทางที่ยาวไกล ประสบการณ์ครั้งนั้นแทนที่จะทำให้ผมเหนื่อย เครียด หรือรู้สึกแย่ ในทางกลับกันประสบการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นสิ่งที่สนุก น่าจดจำ แม้ว่าแบตไอโฟนจะเหลือเหลือเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นก็ตาม
ด้วยความที่ผมเลือกเส้นทางเดินที่ผิดพลาด ทำให้ต้องแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ จึงทำให้ผมได้เรียนรู้จักการ "ไม่โทษตัวเอง" ที่ตัดสินใจผิด หรือหลงทางไปบ้าง ถัดมาผมได้อ่านหนังสือชื่อ The Creative Act: A Way of Being ที่เขียนโดย ริก รูบิน (Rick Rubin) โปรดิวเซอร์เพลงชาวอเมริกันชื่อดัง เขาเขียนข้อความที่น่าสนใจเอาไว้ว่า "ไปผิดทางก็ได้เห็นภูมิทัศน์ที่จะไม่ได้เห็นหากไปถูกตั้งแต่ต้น"
มันคือสิ่งที่ถูกต้องมากเลย ทางอ้อมมักพาเราเลี้ยวเข้า “ภูมิประเทศความรู้ใหม่” ที่แผนที่เดิมไม่เคยบันทึกไว้ เมื่อเราเดินผิดเส้น เราถูกบังคับให้สังเกตสิ่งแปลกตา ตั้งคำถาม และแก้ปัญหาโดยใช้มุมมองที่ไม่เคยนึกถึง จึงได้ทั้งข้อมูลสดและทักษะด้นสดที่หาไม่ได้บนทางตรง
หลายครั้งวิวข้างทางเหล่านี้กลายเป็นต้นตอไอเดียหรือพันธมิตรสำคัญที่ต่อยอดเป้าหมายเดิมให้กว้างกว่าเดิม ดังนั้นหากไปผิดแต่ยังเปิดตาเปิดใจ เราย่อมกลับมาพร้อมแผนที่ที่ละเอียด และเส้นทางใหม่ ๆ ที่คนเดินถูกตั้งแต่ต้นอาจไม่มีวันได้เห็น
สิ่งที่บทความนี้อยากจะเน้นย้ำคือ ทางอ้อมและข้อผิดพลาดไม่ใช่รอยด่างของกระบวนการเรียนรู้ แต่เป็นกลไกหลักที่ทำให้สมองและระบบคิดของเราค่อย ๆ ยกระดับ ตั้งแต่ทฤษฎี Trial and Error ของ เอ็ดเวิร์ด ลี ธอร์นไดค์ (Edward Lee Thorndike) นักจิตวิทยาการเรียนรู้ชื่อดังได้อธิบายว่าเส้นทางใดให้ผลเชิงบวกจะยึดแน่นขึ้นในระบบประสาท (Law of Effect)
ไปจนถึงโมเดลสมัยใหม่ขึ้นอย่าง ADDIE Model มาจนถึงปัจจุบันอย่าง Design Thinking ล้วนวางแกนไว้ที่การสร้างต้นแบบ ทดลอง รับฟีดแบ็ก แล้ววนรอบปรับแก้เพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ทางอ้อมและข้อผิดพลาดไม่ใช่รอยด่างของกระบวนการเรียนรู้ แต่เป็นกลไกหลักที่ทำให้สมองยกระดับ
คาลอส บุญสุภา
กระบวนการดังกล่าว มีการลองผิดลองถูกเป็นหัวใจสำคัญ การลงมือ—> สะดุด—> ลุกขึ้น—> ปรับใหม่ เป็นจังหวะที่สมองสร้างการเชื่อมต่อประสาทสด ๆ มากที่สุด มีการศึกษาที่ถ่ายภาพ fMRI (ดูกิจกรรมของสมอง) ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราพบข้อผิดพลาด คอร์เทกซ์ส่วน Anterior cingulate (ทีมตรวจข้อผิดพลาด) จะสว่างขึ้น ส่งสัญญาณให้ Prefrontal cortex (สมองส่วนคิดและตัดสินใจ) เข้ามาประมวลผล จากนั้น Hippocampus (คลังเก็บบทเรียน) จะเข้ารหัสบทเรียนเป็นหน่วยความจำระยะยาว
ยิ่งไปกว่านั้นการลองผิดลองถูกยังปลูกกรอบความคิดแบบเติบโตให้เราเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งพัฒนาได้ ไม่ใช่พรสวรรค์ตายตัว เมื่อข้อผิดพลาดถูกมองเป็นข้อมูลแทนคำตัดสิน ระดับความกล้าเสี่ยง กล้าคิดนอกกรอบ และกล้าแบ่งปันไอเดียจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ เงื่อนไขสำคัญของนวัตกรรมทุกวงการ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำบังคับใช้กรอบ “Fail Fast, Learn Faster” หรือกรณีที่โรงเรียนฟินแลนด์เปิดพื้นที่ให้เด็กทดลองทำขนมพังเป็นสิบครั้งก่อนเก็บคะแนนจริง
ความผิดพลาดจึงทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกัน 1) เปิดเผยช่องโหว่หรือโอกาสที่มองไม่เห็นบนแผนกระดาษ และ 2) ฝึกสมองให้ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงข้อมูลหลากมิติเร็วกว่าเมื่อเรามุ่งเดินตรงแบบไร้รอยรั่ว
ด้วยเหตุนี้จังหวะหลงทางจึงไม่ใช่สัญญาณว่าเราล้มเหลว แต่คือด่านบังคับที่ช่วยแตกแขนงเส้นประสาทให้กว้างพอจะรองรับวิธีแก้ปัญหาซับซ้อนกว่าเดิม ตราบใดที่เรากลับมาทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วปรับกลยุทธ์ต่อ การผิดพลาดแต่ละครั้งจึงเท่ากับยกน้ำหนักให้กล้ามเนื้อสติปัญญา แข็งแรงขึ้นอีกชั้น
ดังนั้น ถ้าเราต้องการยกระดับทั้งสมองและระบบคิด การออกแบบสภาพแวดล้อมที่อนุญาตให้พลาดอย่างปลอดภัย (Psychological safety) จึงเป็นกุญแจสำคัญพร้อมไปกับการตั้งกติการับฟีดแบ็กเชิงสร้างสรรค์ และถอดบทเรียนสั้นทันทีหลังโปรเจ็กต์สะดุด เมื่อข้อผิดพลาดถูกรีแบรนด์เป็นเชื้อเพลิงการเติบโต เราก็จะได้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น สมองที่ไวขึ้น และวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง
อ้างอิง
Eichenbaum, H. (2017). Memory: Organization and control. Annual Review of Psychology, 68, 19-45. https://doi.org/10.1146/annurev-psych-010416-044131
Kerns, J. G., Cohen, J. D., MacDonald, A. W., Cho, R. Y., Stenger, V. A., & Carter, C. S. (2004). Anterior cingulate conflict monitoring and adjustments in control. Science, 303(5660), 1023-1026. https://doi.org/10.1126/science.1089910
Rubin, R. (2023). The Creative Act: A Way of Being. Penguin Press
โฆษณา