8 มิ.ย. เวลา 10:58 • ประวัติศาสตร์

ช่วงเวลา ชาสมุนไพร และขนมหวาน, ไทลื้อ

Times of Tea Hued and Dessert, Tai Lue
 
น้ำล้า ชาสมุนไพรของชาวไทลื้อ หรือน้ำต้มสมุนไพรบำรุงกำลัง โดยรวมเป็นเครื่องดื่มปรับสมดุลร่างกาย คัดสรรตามพรรณพืชในท้องถิ่น เขตพื้นที่ป่าชุมชน และตามการสืบทอดส่งต่อจากบรรพบุรุษ มีความหลากหลายทางสรรพคุณ ซึ่งไม่ได้จำกัดว่าเป็นน้ำล้าชาฮ้อสะพายควาย น้ำต้มชาแก่นฝาง ชาใบสีดา ที่นิยมดื่มกันอันดับต้นๆ ของชาวไทลื้อ บทความวาระพิเศษนี้ ผู้เขียนขอแบ่งการดื่มชาสมุนไพรออกเป็น 3 มิติ อิงแอบช่วงเวลาอันน่าอภิรมย์ปนประทับใจในวันธรรมดาๆ แม้ล่วงผ่านเทศกาลรื่นเริงใดๆ
น้ำล้า ชาวไทลื้อ
1. ชาสมุนไพรช่วงเวลาต้อนรับแขก
“เซ้ย-เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย~ คราวนี้ดื่มหมดแก้วเลย” เสียงครื้นเครงคล้ายเชียร์แขกดื่มและก็กำลังตึงได้ที่เสียด้วย จุดเกิดเหตุเป็นภายในศูนย์วัฒนธรรมไทลื้อวัดหย่วน
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเสียงเฮฮาปาร์ตี้นี้จะเป็นวงจิบน้ำชาเล็กๆ 2-3 คน นำทีมด้วยแม่หญิงไทลื้อครูน้อง (นางหทัยทิพย์ เชื้อสะอาด ผู้ดูแลศูนย์ฯ) ในชุดแต่งกายผ้าฝ้ายเสื้อแขนยาวย้อมฮ้อมเดินเส้นคอปกปัดแถบแทรกชั้นด้วยสีสัน ซิ่นลายน้ำไหลผักแว่นพิถีพิถันไวยกรณ์ทอทรงแบบดั้งเดิม พร้อมผ้าโผกสีหวานอัญชันอันเป็นเอกลักษณ์ ภาพจำผู้เขียนเกี่ยวกับการนั่งล้อมวงจิบชาอย่างสงบดื่มด่ำวางฟอร์มจึงถูกสั่นคลอนทันที
เมื่อกาน้ำชาเว้นระยะจอกใบใหม่ จัดขบวนเรียบร้อยบนขันโตกไผ่จักสานทรงกลม ครูน้องกล่าวทักทาย “สวัสดีจ้าว ยินดียินบาน สบายดี” เชิญชวนต้อนรับเข้าสู่การจิบชาต้อนรับ หนึ่งในประเพณีรับแขกของชาวไทลื้อ ผู้เขียนที่จ้องรออยู่แล้วก็จะไม่เสียความตั้งใจ
เริ่มจากรอบที่ 1 เมื่อรินชาเรียบร้อยจึงกล่าวต้อนรับ ยินดีวันนี้ มีแขกเหรื่อมาเยี่ยมเยือน แล้วจากนั้น “ต๊อกก๊อก” ซึ่งหมายถึงยกแก้ว/จอก สูดความกรุ่นและแนะนำชนิดชาสมุนไพรสักเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งทาบปากจิบดื่ม ให้พูดโค้ดคำพร้อมๆ กันก่อน “เซ้ย” ซึ่งหมายถึงไชโย ไชโยๆ แสดงความยินดี (โมเมนต์เซ้ยสุดใจนี้ทำให้ผู้เขียนเผลอนึกถึง Cheers ที่หมายถึงชนแก้ว) การเซ้ยมีด้วยกันสามจังหวะก็คือ “เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย-เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย~” จากนั้นจิบแรกรับกลิ่นหอมและอุณหภูมิน้ำชา
ต่อด้วยรอบที่ 2 กล่าวต้อนรับอีกครั้งควบคู่วาระโอกาสนั้นๆ เช่น ขอให้สนุกกับการมาเที่ยวงานประเพณีไทลื้อ แล้วเช่นเคย “ต๊อกก๊อก เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย-เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย~” พร้อมเพรียงผสมครื้นเครงอย่างประหลาด จากนั้นจิบที่สองสัมผัสรสชาติน้ำชา
และสุดท้ายจบครบปิดดีลดื่มในรอบที่ 3 กล่าวอีกครั้งคู่กับคำอวยพร ขอให้แขกทุกท่านได้อยู่ดีกินหวาน อยู่แบบมีชัย ไปแบบมีโชค เช่นเคยเปล่งเสียงพร้อมเพรียง “ต๊อกก๊อก เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย-เซ้ย-เซ้ย, เซ้ย~” คราวนี้คล่องปร๋อ เฮฮาเป็นกันเอง จากนั้นจิบดื่มครั้งสุดท้าย หมดแก้ว/จอก แล้วพูดคุยกันเรื่องทั่วไปตามสบาย หายขัดเขิน ทลายกำแพงความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าได้ดีทีเดียว คือดีมากๆ
2. ชาสมุนไพรช่วงเริ่มต้นวันใหม่
เสียงไก่ขันสอดรับกันเป็นทอดๆ แสงแรกของวันไล่เฉดสีสว่างเลาะเลียบขอบฟ้า บรรยากาศโดยรอบชื้นชุ่มโอบอุ้มย่านวัฒนธรรมชุมชนไทลื้อ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา หมอกเช้าทอม่านขาวฝ้าคละคลุมไอดิน กลิ่นหญ้า ท้องนา คูน้ำ ระรินรอบสายชอุ่มจากลำน้ำแม่ลาว-น้ำแวน หย่อมพุ่มใบแผ่ร่มล้อมระยะพิงอาศัยเรือนไม้ยกพื้น ควันเตาฟืนจาก เฮินไฟ (ครัวดั้งเดิมที่คงความคลาสสิกมากกว่าร้อยปี)
ควันครัวลอยคละคลอผ่านหน้าต่างแผ่วฟุ้งช่องลมดูอ่อนโยน ช้าๆ คล้ายว่าหยุดและย้อนเวลา ‘แม่เฒ่านั่งเฝ้าเตาไฟ ไหนึ่งข้าวทำจากไม้ซ้อ ยังรวมถึงถาดมน ด้ามพาย ครกตำน้ำพริก-ตำข้าวอีกด้วย มีกระบุง กระด้ง หม้อหมิ่น โกม ก่องข้าว แมวสีเผิ้งนอนขดตัวกลมสุ่นบุ่นอุ่นแอ่งขี้เถ้าหนานุ่ม’เหล่านี้ทาบทับคละเคล้าทรงจำวัยเยาว์ของผู้เขียน ในตอนนั้นข้างเตาฟืนคายฟองฟู่ๆ เคยได้ดื่มน้ำข้าวข้นผสมละลายน้ำตาลอ้อยป่น อร่อยละมุนหวานลื่นคอและอุ่นขยุ้มทั่วท้อง คลับคล้ายได้ดื่มน้ำข้าวโพดอ่อนข้าวสาลีมันๆ มีพลังสะสมอย่างไรบอกไม่ถูก
จุดกำเนิดแสงเล็กๆ ภายในเฮินไฟ เคาะจังหวะกิจวัตรแรกของเช้าวันใหม่ ฟืนชุบไฟจากการหุงหาอาหารแผ่ความอบอุ่นการต้มชงน้ำล้าชาสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มสำหรับเริ่มต้นวันตามวิถีปกติของชาวไทลื้อ คัดวัตถุดิบจากพืชดอก ราก เถา ใบ เปลือก และแก่น เฟ้นผ่านภูมิปัญญาอดีตผสานปัจจุบัน ที่ศึกษาจำแนกสรรพคุณพร้อมผูกฤทธิ์ทางยา
ซึ่งผู้เขียนสืบสอบถามสูตรต้มชงฉบับดั้งเดิมมาแล้ว ได้แนวทางวิธีทำขั้นพื้นฐานดังนี้ เช่นในส่วนใบของสมุนไพร ไม่ว่าจะเป็นใบมะก่องแก้ว ใบมะก้วยก๋า ใบมะเดื่อ ใดๆ นำมาล้างน้ำ สลัดแห้ง อังไฟ แล้วต้มชงดื่มได้เลย คราฟต์ขั้นตอนเรียบง่าย เพียงผ่านเตาฟืนธรรมดาๆ กลิ่นรสสัมผัสก็ให้ชนะผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้วละ ทั้งเปี่ยมคุณสมบัติปรับสมดุล บำรุงกำลัง/สมอง/หัวใจ ดับกลิ่นปาก แก้หัวจะปวด ขับลม คลายเส้น สามารถไต่ระดับไปถึงปลุกกระตุ้นชูกำลังอีกด้วย ที่ขาดเสียไม่ได้คือต้านอนุมูลอิสระ
ทุกๆ วันที่ดำเนินไป ชีวิตถูกจิบด้วยรุ่งเช้า ดื่มด่ำละเลียดลูปเวลาหลวมๆ ทิศแสงหมุนเคลื่อนความเป็นดาวโลกที่ชุบสีครามคละขาวเมฆปุยฝ้าย เสียงแก้ว/จอกกระทบกรุ๊งกริ๊งในซ้าฮวด เริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งในวิถีเกษตรและผ้าทออีกครั้ง
3. ชาสมุนไพรช่วงเวลาพักผ่อน
ในมิติของการดื่มชาสมุนไพรช่วงเวลาว่างๆ ผ่อนพัก ผ่อนคลาย แบบส่วนตัว หรือนัดพบปะมิตรสหายพูดคุยพาเพลิน คงเป็นอะไรที่วิเศษหากมีขนมหวานทานคู่กับชา/กาแฟ ขณะเดียวกันก็เป็นความปัจจุบันธรรมดา เป็นส่วนหนึ่งของสุนทรียะสนทนา ที่สำคัญธรรมชาติของขนมนั้นข้ามกำแพงวัฒนธรรมอย่างผสมกลมกลืน ยืนพื้นอารมณ์อันรื่นรมย์
และหากให้ 3 อันดับแรก ตามรอยรสในความเข้าคู่กันที่มากกว่าความกลมกล่อมสำหรับผู้เขียน ด้วยมิติดังกล่าว ระหว่างสนทนาพาเพลินหรือพักผ่อนหย่อนใจกับบรรยากาศ, ดนตรี, หนังสือ, พอดแคสต์ ฯลฯ
1. ทานคู่กับขนมห่อเล็กๆ จากย่านกาดกองน้อย งาตำอ้อย ที่มีสัมผัสหนึบนิ่ม ไม่ถึงขั้นหนึบหนับเท่ากะละแม หอมงาขี้ม่อนโดดเด่น สากร่วนรัวนัวเนียค่อนข้างละเอียดอ่อน หนุบแป้งข้าวเหนียวคลุกเฉพาะตัว ยืดแต่ไม่เยิ้ม หวานวนนิดๆ ลองตัดแบ่งชิ้นน้อยๆ พอดีคำ จึงผสมซาบรสชาฝาดละมุนของน้ำสมุนไพร
2. ทานคู่กับขนมดอกซ้อ ห่อด้วยใบตองเขียวจากย่านดอยไชยแหล่งขนมอาหารของฝากและกาดกองน้อย ห่อสองแบบถ้าไม่มีไส้ทรงข้าวต้มมัด ถ้าแบบมีไส้คล้ายขนมเทียน นึ่งกรุ่นขนมสีข้าวก่ำค่อนสีโอ๊ค ละมุนหอมน้ำตาลอ้อยระคนกลิ่นอ่อนๆ ของดอกซ้อ จับคู่ปรับอารมณ์กับน้ำสมุนไพรอย่างขิงขมิ้น เน้นแรงพลังขับเคลื่อน กระตือรือร้น เอนจอยขนาด เวิร์กมากกับช่วงพักเบรกวาดรูปหรือค้นหาไอเดีย หรือลองจับคู่ชาสมุนไพรใบมะก่องแก้ว ใบฝรั่ง อาจผสมน้ำผึ้งสักครึ่งช้อน
3. ทานคู่กับขนมปาดโบราณ เป็นขนมช่วงเทศกาลงานบุญ ขั้นตอนการทำนั้นออกแรงกวนไม้พายเคี่ยวกันนานน่าดู มีส่วนเมนหลักคือแป้งข้าวญวน มะพร้าวกับน้ำตาลอ้อย เนื้อนุ่มเด้งดึ๋งคล้ายขนมชั้น สีน้ำตาลอ่อนค่อนกลาง หากเปรียบเทียบให้ลองนึกถึงคาราเมลคัสตาร์ด (ซึ่งแทนที่คาราเมลด้วยกะทิมะพร้าว น้ำตาลอ้อย ใบเตย) เข้าคู่กับชาสมุนไพรแก่นฝาง ชาผักเชียงดา ใบบัวบก กระเจี๊ยบน่าจะจี๊ดตัดกันดี
แม้ว่าปกติขนมปาดจะทานคู่ข้าวแคบ ชาวไทลื้อเรียกการจับคู่/ทานคู่กันนี้ว่า จู้ หมายถึง คู่ (ซึ่งหลายคนหลายคลิปเข้าใจผิดใช้ควบตรงกับคำว่า ชู้) โดยส่วนใหญ่ขนมโบราณของไทลื้อเน้นหวานน้อย ออร์แกนิค และบางขนมก็เพลินจนอิ่มท้องอีกด้วย
นับย้อนเมื่อสองร้อยปี บรรพบุรุษชาวไทลื้อได้อพยพมาจากเมืองล้า แคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เป็นที่มาของคำใช้เรียก น้ำล้า การดื่มชาสมุนไพรของชาวไทลื้อได้ขยายขอบเขตสรรพคุณทั้งอนุรักษ์และแปรรูป เชื่อมโยงวิถีชีวิต เชื่อมร้อยประวัติศาสตร์ สืบสานสัมพันธ์ประเพณีวัฒนธรรม ส่งมอบหนึ่งในความหมายทางสุนทรียภาพและส่งต่อจากอีกนับหลากหลายรากฐานอันอุดมด้วยภูมิปัญญา เช่น ผ้าทอ อาหาร การละเล่น ภาษา เครื่องมือเครื่องใช้ และสถาปัตยกรรม
ผู้เขียนเรียนรู้ ตามรอย เปิดรับประสบการณ์ ดื่มด่ำซึมซับประโปรยพรมใจในวันธรรมดาๆ เหนืออื่นใดคือได้เติมมิติใหม่ๆ แก่สมดุลชีวิต
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
----------------------------------
ทุนทางวัฒนธรรมชุมชน = ทุนชาติ
-----------------------------------
#ย่านนี้ดีจัง
#12พื้นที่วิจัย44ย่านวัฒนธรรมชุมชน
#งานวิจัยสื่อวัฒนธรรมชุมชน
#พะเยา #เชียงคำ #ไทลื้อ
ผู้เขียน : บทความวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดย อุเทน มหามิตร
โฆษณา