9 มิ.ย. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
เฮือนไทลื้อแม่แสงดา

สายใยฝ้ายและอาภรณ์ห้อมห่ม, ไทลื้อ

Life of Catton to Apparel, Tai Lue
 
ก่อนล่วงฤดูร้อน ท้องฟ้าสีฟ้าจางผสมสีขาวควัน ผ้าห่มไอแดดแสนอบอ้าวคลุมหนา คาบเกี่ยวช่วงทำนาปลูกข้าว สอดคล้องฤดูปลูกฝ้าย พืชหนึ่งคือชนิดพันธุ์กอหญ้าที่นำมาเป็นอาหาร อีกพืชหนึ่งคือพันธุ์ไม้ต้นเล็กในวงศ์ชบา พุ่มโปร่ง ผลิดอกออกผลผลิตเส้นใย ท่ามกลางพื้นที่เปิดโล่ง อากาศเปิดรับลมต่างถิ่น พืชทั้งสองต่างรอคอยฝนแรกเดือนกรกฎาคม
ฝ้าย เป็นส่วนหนึ่งของต้นฝ้าย เป็นเส้นใยปุกปุยนุ่มฟูอยู่ในฝักของผลฝ้าย (หรือที่เรียกกันว่าสมอฝ้าย) เป็นส่วนขยุกขยุยห่อหุ้มขยุ้มติดเมล็ดเล็กๆ เทียบคุณสมบัติหน้าที่รับผิดชอบคงคล้ายๆ กับบับเบิ้ลกันกระแทกแบบม้วน มากกว่านั้นทำหน้าที่เป็นพาหนะขนส่งทางอากาศ อาศัยกระแสลมพาพัดหอบหุ้มเมล็ดละลิ่วปลิวไปหล่นใกล้-ไกลจากต้นแม่
เมื่อแรกเกิด, ผูกสัมผัสแรกจากเส้นใยฝ้ายผ่านความรักความสุขใจยินดีจากพ่อแม่ เชิงสัญลักษณ์ความเชื่อผ่านพิธีเล็กๆ ที่เรียกว่า ‘ทำขวัญวัน’ ทารกแรกเกิดนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงรับขวัญให้อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นสิริมงคลแก่ลูกน้อย
เริ่มจากกล่าวอัญเชิญเทวดาเพื่อขอให้คุ้มครองให้มีความสุขสวัสดี เกลี่ยกรอด้ายสายสิญจน์ลูบแขนลูกน้อย ใช้มือปัดเคราะห์กวาดโรคภัยออกไป จากนั้นนำด้ายสายสิญจน์อีกเส้นผูกข้อมือทั้งสองข้าง ด้วยการค่อยๆ ลูบเส้นด้ายจากปลายนิ้วเข้าไปหาข้อมือ พลางกล่าวคำอวยชัยให้พร เป็นหนึ่งในสัมผัสทรงจำที่แสนอบอุ่นและเรียบง่ายสำหรับผู้เขียน (เป็นพิธีเล็กๆ ที่จัดการกันเองในครอบครัว ไม่จำเป็นต้องนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์)
‘สายสิญจน์’ ทำมาจากด้ายดิบสีขาว/เส้นฝ้ายดิบทอผ้า (แบบเป็นไจ) นำจับทบกันโดยวิธีจับเส้นด้ายในเข็ดเดียว จับออกครั้งแรกเป็น 3 เส้น และเป็นสายใหญ่ 9 เส้น ม้วนเข้ากลุ่มหนึ่งกรอ ใช้ในพิธีต่างๆ ผ่านการวงด้ายสายสิญจน์มงคลพิธี เช่น งานทำบุญบ้าน งานมงคลสมรส พิธีบายศรีสู่ขวัญ และสืบชะตา เชื่อว่าช่วยปกปักรักษา เป็นวงล้อมเส้นขาวโยงใยที่คุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ ในครอบครัว
เมื่อหยอดเมล็ดลงดิน ตามระยะห่างหลุมที่เตรียมไว้ในแต่ละร่องแถว หยอด 3-5 เมล็ดต่อหลุมลึกประมาณ 5 เซนติเมตร กลบดินให้หนาสำหรับการปลูกเพื่อรอฝน เพราะเป็นช่วงดินแห้งจึงมีความชื้นไม่เพียงพอกับการงอก ต่อเมื่อแทงพ้นดินเป็นต้นกล้าอายุราว 20 วันให้ถอนออกคงเหลือไว้ 2 ต้นต่อหลุม หลังจากนั้นให้หมั่นดูแลต้นฝ้าย ดายหญ้า พรวนดิน เติมปุ๋ย เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ
...ผู้เขียนจำสูตรของแม่อุ๊ยแสงดาแห่งเฮือนไตลื้อโบราณ (ปี 2489) ชุมชนไทลื้อเชียงคำ ที่เคยบอกสูตรไว้ว่าหยอด 4 ถอน 2 เพื่อไม่ให้กล้าฝ้ายเบียดเสียดแย่งชิงกันซึ่งเป็นเหตุทำให้เติบโตได้ไม่เต็มที่กันพอดี
ตรงเติ๋นของเฮือนแม่อุ๊ยแสงดานี้เอง ผู้เขียนสะดุดตาขนปุยสีน้ำตาลนวลอ่อนละมุนผึ่งแดดอยู่ในก๋วยหรือชะลอมและกระด้ง ปุยที่ชาวบ้านเรียกสีขี้ตุ่น นั่นเองจึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ได้รู้จักพันธุ์ฝ้ายพื้นเมืองที่ว่ากันว่าหายากและก็ปั่นยากกว่าฝ้ายพันธุ์สีขาวหลายเท่า ซึ่งเรียกฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนออกครีมๆ ชนิดนี้อย่างเหมาะสมตรงตามคุณลักษณะว่า ฝ้ายตุ่น ดอกฝ้ายตุ่นมีขนาดเล็ก ฝักนิดปุยน้อย เส้นใยสั้นแต่ก็นุ่มเหนียวทานทน
สำหรับผู้เขียนความสวยงามเฉพาะตัวที่ต้องตาปรับอารมณ์อุ่นซึมซอฟต์คือสีน้ำตาลธรรมชาติชนิดไม่ง้อการย้อมสีเคมีใดๆ อีกทั้งฝ้ายตุ่นเป็นวัตถุดิบที่เจาะจงการทอด้วยมือ จึงเป็นอีกหนึ่งความน้อยและหายากในแบบพิเศษของผ้าฝ้ายทอมือพื้นเมืองดั้งเดิม
ฝ้ายเป็นมรดกทางเมล็ดพรรณพืชแห่งเส้นใยที่ปลูกและใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในโลก ปุยฝ้ายมากกว่าครึ่งที่ผลิตได้ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม พรม สำลี อุปกรณ์ใช้ทางการแพทย์ ฯลฯ เมล็ดฝ้ายใช้สกัดน้ำมันเพื่อเป็นอาหาร หยูกยา มากกว่านั้นเป็นเครื่องสำอาง เครื่องหนัง เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนประกอบรถยนต์
ในส่วนต้นกำเนิดฝ้ายชุมชนท้องถิ่นโดยทั่วไปใช้สายพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมซึ่งสืบทอดจากปู่ย่าตายาย รอบการปลูกและเก็บเกี่ยวปีต่อปีจึงไม่สูญหาย แต่หากภาพจำเป็นทิวทัศน์ไร่ฝ้ายปลูกกับดินดอยคลุมคลอม่านหมอก อิงตามจริงก็มีบางภูมิภาคเฉพาะแหล่ง (ค่อนไปทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) คงไม่มากนักเพราะที่มองเห็นได้ทั่วไปจริงๆ คือไม้ยืนต้นยางพาราพืชส่งเสริมเศรษฐกิจนั่นเอง
สำหรับภาคถิ่นเมืองเหนือศูนย์กลางชุนชนย่านวัฒนธรรมไทลื้อกับความเป็นปัจจุบันที่เป็นอยู่ เหมาะสมลงตัวเป็นฝั่งเป็นฝ้ายด้วยการปลูกประปรายในพื้นที่เล็กๆ เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ชีวิตเสมอมา
สานต่อสู่งานหัตถกรรมถักทอกลุ่มแม่บ้าน/วิสาหกิจชุมชน จึงสรุปเป็นการปลูกแบบหว่านเมล็ดเลาะเลียบหัวไร่ปลายนา ปลูกริมรอบรั้วขอบชิด และสวนหลังบ้าน ภาพรวมปลูกคละเป็นพืชครัวเรือน เมื่อแกะเปลือกหยุมแยกขนปุยแล้วทำให้ได้รู้จัก 2 สายพันธุ์เมล็ด ซึ่งคุ้นเคยเรียกกัน (ที่ฟังดูเหมือนชื่อผู้อาวุโสสูงสุด) คือ แก่นแป (เมล็ดติดกันเป็นแพ) กับ แก่นจันทร์ (เมล็ดเดี่ยว)
ติดปี้ (ดอกอ่อน)
เมื่อฝ้ายอายุ 28-30 วัน เป็นช่วงเวลาที่ควรถอนแยกให้เหลือเพียงหนึ่งต้นต่อหลุม คงต้นสมบูรณ์ไว้ในการดูแลจัดการ และด้วยเหตุเพราะเป็นธรรมชาติของพืชที่หากมีการปลูกขึ้นรวมกันมากๆ ก็มักจะเชิญชวนแมลงศัตรูพืชยกพลมาลงแขกทำลาย
ผู้เขียนเองก็ติดใจไม่น้อยสำหรับเจ้าแมลงที่มีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจงเป็นเนื้อคู่นั่นคือหนอนเจาะสมอฝ้าย ส่วนปี้นี้ยังเสริมรับด้วยใบพี่เลี้ยงพิเศษ ลักษณะกาบใบทำหน้าที่หุ้มห่อดอกตูมไว้ ฐานรองอุ้มดอกเหมือนเปลเด็ก ฝ้ายเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบและปลายกิ่ง แรกแย้มดอกสีเหลืองเลม่อน แล้วเปลี่ยนเป็นเหลืองแกมชมพูหลังจากดอกบานเต็มที่ ช่อกลีบมวนค่อยๆ คลี่เปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนย้อมตองนวล บ้างก็ชมพูหวานแดง กระทั่งกลีบล้อมห่อลีบ เหี่ยวแห้ง ลุล่วงภารกิจสร้างการดึงดูด (ทั้งคนและแมลง) เรียบร้อย
เปลี่ยนสีอีกครั้งเป็นสีน้ำตาลชราร่วงโรย ต่อจากนั้นผุดผลทรงลูกข่างเรียกว่า สมอฝ้าย อูมตูมโตขึ้นๆ ใบพี่เลี้ยงก็เผยิบเผยอเปลี่ยนเป็นน้ำตาลแห้งกรอบกระดำกระด่าง สมอฝ้ายสลักร่องพูตามยาวของฝักแก่เต็มที่ ปริแตกจากส่วนยอดตามพูเป็น 3 ฝา ขนปุยแฝดสามก็ฟูนุ่มพูนออกมาน่าหยิก ปุยฝ้ายคือส่วนเซลล์ผิวของเปลือกเมล็ด มีรูปร่างเป็นเส้นใยปุกปุยเป็นยองใย
ฝ้ายที่สมอแก่และแตกปุยพลุ้ยพร้อมให้เก็บ ต้อนรับแรกหนาวเข้าเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม ฤดูเก็บฝ้ายสอดคล้องช่วงเกี่ยวข้าว กองฟางห่างฝน ลมแล้งพัดแทนที่ แดดบ่ายละลายไอศกรีม ต้นไม้อบใบเปลี่ยนสี ปุยเมฆลอยลับปลายปี พร้อมๆ กับกำลังจะมีผ้าห่มและผ้าทอมือผืนใหม่ในชีวิตประจำวัน ...ภายหลังการเปียฝ้ายได้เป็นไจ
ผู้เขียนจึงรู้เพิ่มเติมถึงขั้นตอนย้อมแรกจากธรรมชาติเพื่อทำให้เส้นด้ายแข็งแรงยิ่งขึ้น นั่นคือการย้อมน้ำข้าว จากนั้นนำไปใส่เครื่องมือกวักเพื่อทำให้ด้ายมีความเรียบตึงเสมอกัน เข้าฟืม ขึ้นกี่ สางหวี จากทีละเส้นด้ายผสานลวดลาย รอกหมุนพยุงตะกอหรือฟืม
ผู้เขียนนิ่งมองพลางนึกย้อน กี่แรกที่ประดิษฐ์ขึ้นคงยังมุ่งพัฒนาไม้คานโครงด้านบนเพื่อประสานไม้คานหาบรับน้ำหนักของฟืมด้วยเชือก กี่ครั้งในการปรับเพื่อให้สอดรับ จนกว่าใช้งานได้จริง ก่อนเริ่มกระตุกหรือพุ่งเส้นกระสวย ต่อเมื่อรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าทุกเส้นเวลาขณะหนึ่งๆ เป็นการทอชีวิต ส่งมอบต่อลมหายใจวัฒนธรรม ผืนผ้าที่งดงามจึงมาจากความใส่ใจจริงๆ
ฝ้าย (cotton) มาจากภาษาอาหรับว่า qutn (qatan) นับย้อนกลับไปถึงสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่ามนุษย์มีการเพาะปลูก และการแยกปุยฝ้ายออกจากเมล็ดเพื่อปั่นเป็นเส้นด้าย ทุกชิ้นส่วนสืบย้อนมายาวนานเหล่านี้คือหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุหลายพันปีก่อนคริสตกาล ซึ่งค้นพบอยู่บริเวณแหล่งอารยธรรม ลุ่มน้ำสินธุ เสี้ยวอินเดีย (เหนือ) –ปากีสถานปัจจุบัน
จากหยอดเมล็ดลงดิน ดูแล เก็บเกี่ยว ตาก คัด อีด/หีบฝ้าย ดีด กวง/ล้อ เข็นฝ้าย/ปั่นด้าย เกิดเป็นเส้นโยงผูกพัน ผ่านการเดินทางที่คงอยู่ในวิถีแห่งการทอ ในทุกสัมผัสห้อมห่มสายใยชีวิต สืบซ้อนต่อยอดภูมิปัญญา เป็นส่วนหนึ่งของความธรรมดาตามรอยธรรมชาติ แพร่ขยายหย่อมสีคลี่ผืนฤดู คู่ขนานรอยทางลายไหลสายน้ำกาลเวลา
บทความสัญจรสดับคัดย่อเส้นเรื่องต้นฝ้ายของผู้เขียนครั้งนี้ ขอปิดท้ายด้วยบทสัมภาษณ์ตอบของพิธีกรรายการสารคดีทางโทรทัศน์และนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เซอร์เดวิด แอตเทนโบโรห์ กล่าวว่า “ในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งที่ฉันห่วงใยคือการไม่ปล่อยให้ทรัพยากรธรรมชาติที่เราพึ่งพาสูญเปล่า ไม่ใช่แค่อาหารหรือพลังงานเท่านั้น แต่ยังควรจัดการ/จัดสรร ปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความใส่ใจจริงๆ เคารพและนับถือธรรมชาติที่เราเป็นส่วนหนึ่ง อนาคตของโลกธรรมชาติอยู่ในมือของเรา”
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทุนทางวัฒนธรรมชุมชน = ทุนชาติ
#ย่านนี้ดีจัง
#12พื้นที่วิจัย44ย่านวัฒนธรรมชุมชน
#งานวิจัยสื่อวัฒนธรรมชุมชน
#พะเยา #เชียงคำ #ไทลื้อ
ผู้เขียน : บทความวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดย อุเทน มหามิตร
โฆษณา