Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ย่านนี้ดีจัง
•
ติดตาม
9 มิ.ย. เวลา 13:30 • ท่องเที่ยว
ถนนคนเดินเชียงแสน
กาดใบตอง
ตลาดพื้นถิ่นย้อนอดีตดินแดนเชียงแสนโบราณ
“กันเข้าวัดหื้ออู้กำผาชญ์ กันเข้ากาดหื้อเป๋นป้อก๊า”
สุภาษิตคำสอนของล้านนาแล่นเข้ามาในความทรงจำเมื่อเห็นภาพ “กาดใบตอง” ซึ่งใช้พื้นที่ริมฝั่งโขง ณ ลานอเนกประสงค์ หน้าสถานีตำรวจภูธรเชียงแสนเป็นสถานที่ค้าขายสินค้าพื้นเมืองยาวเหยียดไปจนถึงหน้าวัดผ้าขาวป้าน
คำล้านนาที่ว่าสอนลูกหลานว่า “ถ้าเข้าวัดให้พูดจาภาษานักปราชญ์ ถ้าเข้าตลาดให้ทำตัวเป็นพ่อค้า”คืออยู่ในสังคมไหนให้ปฏิบัติตัวให้กลมกลืนกับสังคมนั้น เหมือนภาษิตไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม”
สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว การหลิ่วตาตามที่ดีที่สุดเมื่อไปเดินเที่ยว “ตลาด” หรือ “กาด” ยามนี้ คือ การชื่นชมการฟ้อนล้านนาของ “นักฟ้อนรุ่นจิ๋ว” ของชมรมช่างฟ้อน ที่กำลังแสดงอยู่บนเวที ที่ว่ากันว่าดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่มากที่สุดก็ว่าได้ นักร้องรุ่นเยาว์วัยอนุบาลและประถมฟ้อนรำอย่างสวยงามชดช้อย โดยมีฉากหลังเป็นสายน้ำสีขาวขุ่นของลำน้ำโขงที่พัดมาให้เย็นสบาย มีแคร่ไม้ไผ่ให้ผู้ชมได้นั่งชม ส่วนใครนิยมนั่งพื้น ก็มีขันโตกวางเรียงรายให้ซื้อหาอาหารมานั่งกินได้อย่างอิสระ
คุณหลิว-จิราภรณ์ แก้วดำ นักวิจัยในพื้นที่เล่าว่าพ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่ของกาดใบตองเป็นชาวบ้านในเขตเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีที่เป็นคนนอกพื้นที่ก็เฉพาะกลุ่มผ้าทอไทลื้อจากบ้านวังลาว ที่มีถุงย่ามอันเป็นเอกลักษณ์จนสามารถจดสิทธิบัตรไปเรียบร้อยแล้ว กับกลุ่มผ้าทอสบคำ ที่มีผ้าลายหงส์ดำเชียงแสนที่มีมาแต่โบราณ และถือเป็นลายอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีแรงบันดาลใจจากลวดลายปูนปั้นที่ประดับเรือนซุ้มโขง
สถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาในเมืองเชียงแสน ลวดลายนี้แสดงถึง "หงส์ดำ" ซึ่งเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ที่มีความสำคัญในความเชื่อทางพุทธศาสนาและวรรณคดีไทย สื่อถึงความยิ่งใหญ่และความสง่างามของวัฒนธรรมล้านนา
ถ้าเราเดินเที่ยวตลาดไปเรื่อยๆ จะพบว่าที่นี่มีร้านค้านับกว่า 100 ร้านแบ่งเป็นโซนขายอาหารกับโซนขายเสื้อผ้า โดยมีโซนอาหารพื้นถิ่นและผักพื้นบ้านวางเรียงรายกันอย่างชัดเจน ถ้าจะแนะนำคนต่างถิ่นที่เพิ่งมาเที่ยวที่นี่ครั้งแรก นอกจากน้ำพริกสารพัดชนิด น้ำเงี้ยว ไข่ป่าม ข้าวยำแหนม ฯลฯ แล้ว คนในพื้นที่แนะนำให้ลองกินยำหมี่เหลืองไทลื้อ ของแม่ค้าบ้านวังลาว ที่มีความหอมของถั่ว งา และซีอิ๊วของไทลื้อโดยเฉพาะ
หากจะว่าไปแล้ว ความเป็นมาของ “กาดใบตอง” ก็เริ่มมาจากกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งทำงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นในการสร้างคุณค่าวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่่อความเข้มแข็งของชุมชน โดยกิจกรรมหนึ่งของโครงการคือ การจัดกิจกรรม “กาดก้อม” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กาดใบตองของดีเมืองเชียงแสน" เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงานของทางเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน แต่ดำเนินงานได้ไม่นานตลาดก็ซบเซา
ต่อมาในปี 2565 คุณเกศสุดา สังขกร นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสน เล็งเห็นถึงการฟื้นฟูด้านวัฒนธรรมและสร้างรายได้ให้ชุมชน จึงเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดย มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
จากปีแรกๆ ที่สร้างรายได้ให้ชุมชนแค่เพียงหลักแสนต้นๆ มาปีนี้สามารถเพิ่มรายได้ให้ชุมชนกว่า 5 แสนบาทต่อวัน (ตลาดมีสัปดาห์ละครั้ง เฉพาะวันเสาร์) ยิ่งในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลวันสงกรานต์ที่ชาวลาวจะข้ามมาเที่ยวที่ฝั่งไทย รายได้ในพื้นที่นี้ก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าตัว
“กาดใบตองจะมีบรรยากาศที่คึกคักมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีการปิดถนน ทางเทศบาลจะสูบน้ำจากลำน้ำโขงมาต่อกับท่อให้เป็น ‘อุโมงค์น้ำ’ เพื่อให้เด็กๆ และนักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน” นักวิจัยในพื้นที่กล่าว
เมื่อมองไปยังริมฝั่งโขง เราพบความน่ารักของวิถีพื้นบ้านที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัส คือ บรรยากาศของเรือข้ามฟากที่คนไทย-ลาวสามารถข้ามไปมาหาสู่กันได้ในราคา 70 บาท โดยชาวไทยในพื้นที่ที่มีเรือของตนเองจะให้บริการขนส่งทั้งคนและสินค้านานาชนิดข้ามจากฝั่งไทยไปให้พ่อค้าฝั่งลาว
กว่า 70 ปีที่ผ่านมาชุมชนคนจีนเลียบริมลำน้ำโขงของฝั่งไทยจะส่งสินค้าเกษตร ขนม เครื่องปรุงรส เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้สารพัดผ่านเรือข้ามฟากแห่งนี้ที่มีชื่อว่า “ท่าเรือสามล้อ” ไปขายยังฝั่งลาว
แน่นอนว่าเมื่อก่อนที่นี่มีรถสามล้อมาจอดแน่นขนัด จนต่อมาเมื่อการสัญจรไปมาเริ่มเปลี่ยนเป็นรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ส่วนตัว สามล้อที่เคยมีมากมายก็กลายเป็นของหายาก แต่ก็ยังไม่หมดไปเลยเสียทีเดียว ยังจอดรอรับทั้งคนสัญจรไปมาในพื้นที่และนักท่องเที่ยวอยู่ที่หน้าโรงเรียนราษฎร์บูรณะนุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) ราว 7-8 คัน สนนราคาค่าบริการตามระยะทางเริ่มต้นก็ 20-30 บาทเท่านั้น
จากสภาพแวดล้อมของกาดใบตองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ข้าวของทันสมัย เมื่อย้อนคิดกลับไปว่าที่นี่เคยมีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ภาพซ้อนของบ้านเมืองนี้ในอีกมิติหนึ่งก็ทำให้เราย้อนคิดถึง “คนที่อยู่มาก่อนเหล่านั้น” คนที่ใช้เครื่องมือขูดสับ ใช้หินกะเทาะ ขวานกำปั้น เพื่อยังชีพให้อยู่รอด
รวมถึงคนที่ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมืองในที่ราบลุ่มเชียงแสน ดังปรากฏในตำนานพระธาตุดอยตุง ตำนานเมืองสุวรรณโคมคำ ตำนานสิงหนวัติกุมาร และตำนานเมืองหิรัญนครเงินยาง ซึ่งอธิบายถึงความชอบธรรมในการขึ้นเป็นกษัตริย์ของต้นราชวงศ์มังราย และเพื่อต้องการผสมผสานความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษพื้นเมืองให้เข้ากันได้กับพุทธศาสนา
และจากตำนานต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เราทราบว่าบริเวณที่ราบลุ่มเชียงแสนช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับชนเผ่า ระดับเมือง เกิดการย้ายถิ่นที่อยู่มายังพื้นที่ใกล้แม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา เช่น น้ำกก น้ำจัน น้ำคำ น้ำรวก เพื่อความสะดวกในการเดินทางติดต่อกับเมืองอื่นๆ เกิดเป็นเมืองขนาดเล็กที่สามารถสร้างศูนย์กลางสำคัญขึ้นได้ แต่ละเมืองเป็นอิสระต่อกัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างหลวมๆ โดยการแต่งงานหรือเป็นพันธมิตร
ต่อมาในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 พญามังรายแห่งเมืองเชียงรายเริ่มรวบรวมเมืองต่างๆ บริเวณที่ราบลุ่มเชียงแสนไว้ในพระราชอำนาจ จากนั้นจึงเข้ายึดเมืองหริภุญชัยในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง และสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางการปกครอง
ฐานะของเมืองเชียงแสนในระยะแรกมีความสำคัญค่อนข้างสูง เพราะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรล้านนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายหลายพระองค์ต่างเสด็จมาครองเมืองเชียงแสน จนมาถึงช่วงศตวรรษที่ 22-24 เชียงแสนกลับกลายเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ในการควบคุมพื้นที่ทางตอนบนของหัวเมืองฝ่ายเหนือ พม่าส่งกำลังมายึดเมือง กรุงศรีอยุธยาและธนบุรีต้องยกกองทัพมาปราบ จนสมัยรัชกาลที่ 1 ก็สามารถยกกองทัพมาขับไล่พม่าออกจากเมืองเชียงแสนได้สำเร็จ
กล่าวได้ว่าเชียงแสนในวันวานเป็นที่ราบลุ่มเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และอารยธรรมที่มีมาช้านาน เป็นทั้งสมรภูมิสงครามและสนามรบ เป็นพื้นที่ช่วงชิงอำนาจระหว่างไทยและพม่า ส่งผลให้ชาวยวนเชียงแสนเกิดการย้ายถิ่นและพลัดพรากไปจากถิ่นฐานบ้านเกิดไปยังจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะจังหวัดสระบุรี และราชบุรี รวมถึงแตกกระสานซ่านเซ็นอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ ลพบุรี สระแก้ว นครราชสีมา นครปฐม
เมื่อเราไปเที่ยวกาดใบตองในวันนี้ สิ่งที่เห็นและซ้อนทับพื้นที่นี้อยู่ จึงมีทั้งอดีตที่สืบสาวไปถึงอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ และความทันสมัยที่ปกคลุมเมืองเชียงแสนโบราณนี้ไว้
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
----------------------------------
ทุนทางวัฒนธรรมชุมชน = ทุนชาติ
-----------------------------------
#ย่านนี้ดีจัง
#12พื้นที่วิจัย44ย่านวัฒนธรรมชุมชน
#งานวิจัยสื่อวัฒนธรรมชุมชน
#เชียงแสน #เชียงราย
ผู้เขียน :
เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาบรอดคาสติงและสื่อสตรีมมิง
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ประวัติศาสตร์
ความรู้รอบตัว
ท่องเที่ยว
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย