10 มิ.ย. เวลา 11:36 • ประวัติศาสตร์

การล่มสลายของ “พระประมุขคาทอลิก” องค์สุดท้ายแห่งสหราชอาณาจักร

สหราชอาณาจักร ไม่มีพระมหากษัตริย์ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมาเป็นเวลากว่า 337 ปีแล้ว หลังจากที่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเคยปกครองประเทศมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกก็เสื่อมอิทธิพลลงในอังกฤษหลังจากเหตุการณ์ “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution)“ ซึ่งส่งผลให้นิกายคาทอลิกถูกแทนที่ด้วยนิกายโปรเตสแตนต์ และนิกายโปรเตสแตนต์ก็ได้แพร่ขยายไปยังโลกใหม่ผ่านผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษ
แล้วใครคือกษัตริย์นิกายคาทอลิกพระองค์สุดท้ายแห่งสหราชอาณาจักร? และเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์? การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ได้ยุติอิทธิพลของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในประเทศได้อย่างไร?
1
ผมจะเล่าให้ฟัง
ในสมัยศตวรรษที่ 17 สหราชอาณาจักรได้เกิดความแตกแยกทางศาสนา สั่นคลอนประเทศอย่างรุนแรง ประเทศชาติถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หนึ่งคือกลุ่มชนชั้นนำเดิมที่นับถือนิกายคาทอลิก อีกกลุ่มคือนิกายโปรเตสแตนต์ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
1
นอกจากนั้น ยังมีกระแสทางการเมืองที่ขัดแย้งกันระหว่างระบอบกษัตริย์และระบอบสาธารณรัฐ ซึ่งผูกโยงกับความแตกแยกทางศาสนาอีกด้วย โดยกษัตริย์ในช่วงเวลานั้น คือ “พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (James II of England)” โดยปกครองทั้งอังกฤษ ไอร์แลนด์ และสก็อตแลนด์
1
รัชสมัยของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 นั้นเต็มไปด้วยความปั่นป่วนอย่างต่อเนื่อง พระองค์ต้องเผชิญกับการกบฏถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในแถบตอนใต้ของอังกฤษ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ และอีกครั้งในสก็อตแลนด์
2
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (James II of England)
ในท้ายที่สุด การกบฏก็ถูกปราบปรามลงได้ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่กำลังคุกรุ่นอยู่ทั่วดินแดน
ทางด้านพระเจ้าเจมส์ที่ 2 พระองค์ก็พยายามจะรักษาอำนาจของพระองค์ด้วยการเพิ่มจำนวนกำลังพลของกองทัพอังกฤษให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งการกระทำนี้กลับยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะผู้ที่ต่อต้านการปกครองของพระองค์เริ่มกล่าวหาว่าพระองค์เป็น “กษัตริย์เผด็จการ”
1
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงออกประกาศการผ่อนผัน (Declaration of Indulgence) ใหม่อีกครั้ง ซึ่งประกาศฉบับนี้เป็นกฎหมายที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มเสรีภาพทางศาสนา จำกัดอำนาจของรัฐในการดำเนินคดีกับผู้ที่มีความต่างทางศาสนา
1
ในเวลานั้น ชาวอังกฤษส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ ส่วนศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกกลับเสื่อมลงเรื่อยๆ ซึ่งนักบวชนิกายแองกลิกันในประเทศ ก็มองว่าการกระทำของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เป็นกลอุบายเพื่อเพิ่มอำนาจของคาทอลิกที่กำลังลดน้อยลง จึงมีการเรียกร้องให้พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทบทวนการกระทำของพระองค์และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นักบวชแองกลิกันยังคงสามารถดำเนินคดีกับผู้ที่นับถือคาทอลิกได้ แต่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงปฏิเสธคำขอนั้น
1
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ยังทรงโกรธเคืองที่มีการต่อต้านการปกครองของพระองค์ จึงทรงให้จับบิชอป หรือพระสังฆราช ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและยุยงปลุกปั่น
1
ความพยายามของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ที่จะฟื้นฟูศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ถูกหลายฝ่ายมองว่าไร้ประโยชน์ และความวิตกกังวลของสาธารณชนก็ถึงจุดแตกหักเมื่อพระราชินีทรงให้พระประสูติกาลพระราชโอรสและผู้สืบทอดบัลลังก์นิกายโรมันคาทอลิก คือ “เจ้าชายเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด (James Francis Edward)”
ก่อนหน้านี้ ผู้ที่อยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ก็มีเพียงพระราชธิดาสองพระองค์เท่านั้น แต่บัดนี้ ความคิดที่ว่ากษัตริย์ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อไปอีกหนึ่งรุ่น กำลังจะกลายเป็นความจริง เหล่าประชาชนที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ต่างก็รู้สึกว่าเกินจะรับไหว
เจ้าชายเจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด (James Francis Edward)
30 มิถุนายน ค.ศ.1688 (พ.ศ.2231) กลุ่มขุนนางโปรเตสแตนต์ได้รวมตัวกันและเชิญ “วิลเลียมแห่งออเรนจ์ (William of Orange)” หรือภายหลังคือ “พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)” ให้ยกทัพมายังอังกฤษเพื่อโค่นล้มพระเจ้าเจมส์ที่ 2
เมื่อทรงเห็นว่าวิลเลียมแห่งออเรนจ์มีแผนจะรุกราน “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส (Louis XIV)” จึงเสนอความช่วยเหลือให้กับพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ในฐานะผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกเหมือนกัน แต่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงปฏิเสธ
1
เหตุผลที่ทรงปฏิเสธ ก็เนื่องจากทรงเกรงว่าหากรับความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส จะยิ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจและต่อต้านพระองค์มากขึ้น และด้วยกองทัพของพระองค์เองที่มีกำลังพลมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ก็ทำให้พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงเชื่อว่าพระองค์สามารถรับมือกับการรุกรานจากศัตรูได้
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส (Louis XIV)
แต่เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือวิลเลียมแห่งออเรนจ์ได้ยกทัพเข้ารุกรานทางตอนใต้ของอังกฤษ แต่พระเจ้าเจมส์กลับไม่ยอมออกรบ
กองทัพของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 นั้นมีขนาดใหญ่กว่าและมีความได้เปรียบในทุกด้าน แต่พระเจ้าเจมส์ที่ 2 กลับเลือกที่จะหลบหนีแทนที่จะสู้รบ ทำให้วิลเลียมแห่งออเรนจ์สามารถยึดครองอังกฤษได้โดยแทบจะไม่มีการต่อต้าน ไม่ต้องเหนื่อยยากอะไรเลย
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ได้ทรงโยนตรามหาลัญจกรลงแม่น้ำ และเสด็จหนีไปยุโรป ส่วนวิลเลียมแห่งออเรนจ์ก็ไม่คิดจะตามตัวพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เพราะไม่ต้องการให้พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ดูน่าสงสารหรือจุดกระแสความเห็นใจต่อกษัตริย์
หลังจากนั้น วิลเลียมแห่งออเรนจ์จึงขึ้นครองราชย์เป็น “พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)”
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England)
ความขี้ขลาดของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ประกอบกับการที่พระองค์ได้รับการสนับสนุนจากไอร์แลนด์และฝรั่งเศส ยิ่งทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อพระองค์อย่างสิ้นเชิง และไม่ว่าพระองค์จะนับถือคาทอลิกหรือไม่ก็ตาม ก็เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองอังกฤษ
2
แต่ถึงแม้ว่าพระเจ้าเจมส์ที่ 2 จะทรงสูญเสียพระเกียรติยศไปอย่างหมดสิ้น แต่พระองค์ก็เปลี่ยนพระทัยในภายหลัง และตระหนักว่าหากพระองค์ยืนหยัดต่อไป ก็อาจจะปกป้องอังกฤษไว้ได้ และอาจทำให้ประชาชนหันมาสนับสนุนพระองค์ได้อีกครั้ง
บัดนี้ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ต้องการจะกลับมาอีกครั้ง โดยพยายามวาดภาพตนเองให้เป็นผู้กอบกู้อังกฤษจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ให้ได้
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ทรงพยายามเสด็จกลับอังกฤษผ่านทางไอร์แลนด์ โดยรัฐสภาไอร์แลนด์ได้ตัดสินใจที่จะฟื้นฟูฐานะของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 และสนับสนุนการทวงคืนราชบัลลังก์ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 จึงพยายามจัดตั้งกองทัพขึ้นในไอร์แลนด์ โดยอาศัยประชาชนชาวคาทอลิกเป็นกำลังหลักในการกลับคืนสู่อำนาจ
แต่เป็นโชคร้ายสำหรับพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เนื่องจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ทรงทราบข่าว และนำกองทัพด้วยพระองค์เองไปยังไอร์แลนด์ และสามารถพิชิตกองทัพของพระเจ้าเจมส์ได้ในการรบที่ “สมรภูมิโบยน์ (Battle of the Boyne)”
2
ความพ่ายแพ้นี้ทำให้พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ต้องเสด็จหนีอีกครั้ง คราวนี้พระองค์เสด็จลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส ที่ซึ่งชนชั้นนำคาทอลิกอนุญาตให้พระองค์ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนกระทั่งสวรรคต
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ไม่มีวันได้กลับไปยังอังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ หรือไอร์แลนด์อีกเลย อำนาจของพระองค์ในสหราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว
สมรภูมิโบยน์ (Battle of the Boyne)
พระเจ้าเจมส์ที่ 2 ได้สวรรคตในปีค.ศ.1701 (พ.ศ.2244) ด้วยพระชนมายุ 67 พรรษา
หลังสิ้นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 พระประมุขคาทอลิกในสหราชอาณาจักรก็ได้หมดสิ้น และนับตั้งแต่นั้น นิกายโปรเตสแตนต์ก็ยังคงครองราชบัลลังก์อังกฤษเสมอมา
1
โฆษณา