9 มิ.ย. เวลา 12:15 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

25 ปีแห่งความภักดี VS 1 วินาทีของอัลกอริทึม เมื่อ Microsoft ใช้คอมพิวเตอร์ตัดสินว่าใครควรออก

เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งคอมพิวเตอร์จะมาตัดสินชะตากรรมชีวิตการทำงานของเรา? เรื่องราวในบทความนี้อาจทำให้เราต้องคิดทบทวนความเชื่อเรื่องความภักดีต่อบริษัทใหม่
ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2025 วงการเทคโนโลยีได้รับข่าวใหญ่จาก Microsoft ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ที่หลายคนเทิดทูน ประกาศการปลดพนักงานครั้งใหญ่
Microsoft ปลดพนักงานไป 6,000 คน หรือประมาณ 3% ของพนักงานทั่วโลก บริษัทให้เหตุผลแบบเป็นทางการ “เราดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริษัทมีตำแหน่งที่ดีที่สุดในการแข่งขัน”
การปลดงานครั้งนี้เป็นรอบที่ใหญ่ที่สุดของ Microsoft นับตั้งแต่ปี 2023 ที่บริษัทปลดพนักงานออกไป 10,000 คน
ที่น่าสนใจคือครั้งนี้เป็นรอบที่สองในปี 2025 แล้ว ก่อนหน้านี้บริษัทเพิ่งปลดพนักงานไปประมาณ 1% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าสนใจของการปลดพนักงานในรอบนี้ก็คือ มันกระจายไปทุกระดับ ทุกทีม ทุกพื้นที่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการระดับสูงหรือพนักงานทั่วไป
วิศวกรซอฟต์แวร์กลายเป็นเป้าหมายหลัก ถูกปลดออกไปมากกว่า 2,000 ตำแหน่งในรัฐ Washington เพียงแห่งเดียว
บริษัทอ้างว่าเป็นการ “กำจัดชั้นการจัดการที่ไม่จำเป็น” และปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเร่งโครงการ AI แต่พอดูตัวเลขผลกำไรแล้วทุกคนต่างสงสัยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของ Microsoft
Microsoft เพิ่งรายงานผลกำไรที่ดีมาก ๆ ในไตรมาสแรกของปี 2025 เกินคาดการณ์ด้วย แล้วทำไมต้องปลดคนล่ะ?
ในบรรดาเรื่องราวที่เกิดขึ้น มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนทั้งโลกต้องอึ้ง นั่นคือเรื่องของพนักงาน Microsoft คนหนึ่งที่ทำงานมา 25 ปีเต็ม
ลองคิดดู 25 ปี มันคือเกือบครึ่งชีวิตของคนเราแล้ว แต่เขาถูกปลดงานด้วยเหตุผลที่โครตไร้สาระ “ถูกเลือกแบบสุ่มโดยอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์”
ภรรยาของเขาเล่าเรื่องนี้บน Reddit ด้วยความระทมทุกข์ เธอบอกว่าสามีของเธอได้รับการบอกกล่าวเรื่องการปลดงานเพียงไม่กี่วันก่อนวันเกิดปีที่ 48
ที่โหดที่สุดคือวันสุดท้ายของเขาในที่ทำงานคือวันเกิดของเขาเองพอดี เป็นของขวัญวันเกิดที่เจ็บปวดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
เขาเป็นคนออทิสติกและป่วยเป็นโรค Multiple Sclerosis แต่แทบไม่เคยลาป่วยเลย เขาทำงานกว่า 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยไม่เคยบ่น เขาเป็นคนที่รับเวรในช่วงวันหยุด Christmas และ Thanksgiving เพื่อให้เพื่อนร่วมงานที่มีลูกได้กลับบ้าน
ภรรยาของเขาเล่าต่อว่า “เขาไม่เคยขาดงานสักวัน แทบไม่เคยโทรเพื่อลาป่วย และถ้าเขาป่วยจริงๆ เขาก็จะทำงานจากบ้าน เขาไม่เคยขอขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่ง”
1
“เขาแค่มาทำงานต่อไปและแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้” คำพูดนี้ทำให้เราเห็นภาพของคนที่ทุ่มเทให้กับงานอย่างแท้จริง
และสิ่งที่น่าตลกก็คือเขาเพิ่งได้รับรางวัลคริสตัลสำหรับการทำงาน 25 ปีเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ได้รับรางวัลแล้วก็ถูกไล่ออก
เขาเคยได้รับรางวัลสำหรับการแก้ไขปัญหาเทคนิคที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ แต่อัลกอริทึมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยด้วยซ้ำ
เขายังเป็นพี่เลี้ยงให้กับเพื่อนร่วมงานหลายร้อยคน หลายคนในจำนวนนั้นได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้บริหาร แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีความหมายอะไรต่ออัลกอริทึม
เหตุการณ์คล้ายๆ กันยังเกิดขึ้นกับ Gabriela de Queiroz ผู้อำนวยการฝ่าย AI สำหรับ Microsoft for Startups ที่ถูกปลดงานในรอบเดียวกัน
เธอถูกปลดจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI ในช่วงเวลาที่ Microsoft กำลังลงทุนอย่างบ้าคลั่งใน AI
Gabriela เขียนบน X ว่า “ฉันได้รับผลกระทบจากการปลดงานรอบล่าสุดของ Microsoft เศร้าใจไหม แน่นอน ฉันใจสลายที่เห็นคนเก่งมากมายที่ฉันมีเกียรติได้ร่วมงานด้วยถูกปลด”
“เหล่านี้คือคนที่ใส่ใจอย่างลึกซึ้ง ทำเกินกว่าที่คาดหวัง และสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง” คำพูดของเธอสะท้อนความรู้สึกของคนที่เหมือนกำลังถูกแทงข้างหลัง แม้ว่าเธอจะถูกขอให้หยุดงาน แต่เธอยังคงเข้าร่วมประชุมและทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ
“ฉันเลือกที่จะอยู่อีกสักหน่อย เข้าร่วมประชุม ทำงานที่ทำได้ให้เสร็จ” เธอกล่าว
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้กระตุ้นให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และการถกเถียงอย่างมากในโลกออนไลน์ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้อัลกอริทึมในการตัดสินใจเรื่องการปลดงาน
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายคนแสดงความคิดเห็นว่า “นี่คือเหตุผลที่ไม่มีใครควรภักดีต่อนายจ้าง” คำพูดที่ฟังแล้วเจ็บปวดแต่เป็นความจริง
อีกคนแสดงความสงสัยว่า “น่าสนใจที่จะรู้ว่ามีกี่คนที่ถูกเลือกโดยอัลกอริทึมนี้ที่อายุเกิน 40 และ/หรือมีปัญหาสุขภาพที่มีค่าใช้จ่ายสูง”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเริ่มเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีการกำกับดูแลจากมนุษย์ในกระบวนการตัดสินใจเรื่องการปลดงาน
พวกเขาระบุว่าแม้อัลกอริทึมจะเจ๋งในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก แต่ไม่ควรเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องการปลดงาน การขาดความเป็นมนุษย์มันดูไม่ make sense สำหรับเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเช่นการปลดพนักงาน
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา CEO Satya Nadella เปิดเผยว่า AI ตอนนี้เขียนโค้ดได้ถึง 30% ในโครงการบางโครงการ ตัวเลขที่ฟังแล้วเจ๋งแต่ก็น่ากลัวในเวลาเดียวกัน รองประธานคนหนึ่งยังเรียกร้องให้ทีมต่างๆ เพิ่มโค้ดที่สร้างโดย AI จาก 20-30% เป็น 50%
บริษัทได้ลงทุนประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ต้องลดค่าใช้จ่ายในด้านเงินเดือนพนักงาน
แต่เรื่องที่ conflict กันก็คือ Microsoft ปลดพนักงานในขณะที่ยังคงรับสมัครและจ้างพนักงานใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อขายผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ๆ
ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ Microsoft เท่านั้น แต่ยังลามไปทั่ววงการเทคโนโลยี
ตามข้อมูลจาก Layoffs .fyi มีพนักงานเทคโนโลยีมากกว่า 53,000 คนถูกปลดงานจาก 126 บริษัทในปี 2025 เมื่อเทียบกับ 153,000 คนจาก 551 บริษัทในปี 2024
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยี ที่บริษัทต่างๆ พยายามปรับตัวเข้ากับยุคของ AI
เหตุการณ์นี้ได้เผยให้เห็นความท้าทายใหม่ในยุคดิจิทัล ที่ความภักดีและการทุ่มเทไม่ใช่การประกันความมั่นคงในอาชีพการงานอีกต่อไป
การที่อัลกอริทึมสามารถตัดสินใจได้ว่าใครควรอยู่หรือไปโดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ ความสามารถ หรือความทุ่มเทของแต่ละบุคคล ทำให้เกิดคำถามกับความเชื่อเดิม ๆ
มันทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมและความเป็นมนุษย์ในการบริหารงาน เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์
นักวิชาการและนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทบทวนนโยบายการใช้ AI ในการตัดสินใจด้านทรัพยากรบุคคล
Gabriela de Queiroz ได้ส่งข้อความให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยกล่าวว่า “สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน คุณไม่ได้อยู่คนเดียว มีพวกเราอีกอย่างน้อย 6,000 คน”
ภรรยาของพนักงานที่ถูกปลดงานได้ปิดท้ายโพสต์ของเธอด้วยข้อความที่เจ็บปวดรวดร้าว “ฉันไม่ต้องการความสงสาร ฉันแค่ต้องการให้ใครสักคนรู้ว่าโลกนี้ทำอะไรกับคนที่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่มัน”
เรื่องราวนี้ทำให้เราได้เห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในโลกของการทำงาน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างไม่ใช่สิ่งที่มั่นคงอีกต่อไป
ที่สำคัญคือการที่เทคโนโลยีที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยมนุษย์กลับกลายเป็นเครื่องมือที่อาจทำลายความเป็นมนุษย์ของเราเอง
นี่คือบทเรียนที่เราทุกคนควรจดจำ ในยุคที่ AI และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน เราต้องไม่ลืมว่าเบื้องหลังตัวเลขและอัลกอริทึมทั้งหลาย มีมนุษย์คนหนึ่งที่มีความรู้สึก มีครอบครัว และมีความฝันอยู่
การสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของเทคโนโลยีกับความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่เราต้องฝ่าฝันต่อสู้ในอนาคต ไม่ให้เทคโนโลยีมาขีดชะตาชีวิตของเราแบบไร้เหตุผล
References : [cnbc, apnews, geekwire, theregister, axios]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา