10 มิ.ย. เวลา 06:30 • ไอที & แก็ดเจ็ต

Apple ชู Apple Intelligence พลังหลักในทุกโปรดักต์ ฉลาด เคารพความเป็นส่วนตัว ทำงานได้แม้ไม่มีเน็ต

เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืน (เวลาไทย) กับงานประจำปีของ Apple อย่าง WWDC 2025 ที่ทาง Apple ได้ออกมาอัปเดตผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยในปีนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องของ Apple Intelligence หรือ AI ของ Apple ที่มุ่งพัฒนามาตั้งแต่ปีที่แล้ว
Craig Federighi, Senior Vice President of Software Engineering ของ Apple
“Apple ยังคงเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มทั้งหมด ด้วยการต่อยอด Apple Intelligence ให้ทรงพลังยิ่งขึ้นควบคู่ไปกับดีไซน์ใหม่ที่สวยงาม” Tim Cook, CEO ของ Apple กล่าวในช่วง Keynote พร้อมส่งไม้ต่อให้ Craig Federighi, Senior Vice President of Software Engineering ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple
โดยใน WWDC บนเวที Keynote รอบนี้เน้นไปที่เรื่องของการผสาน Apple Intelligence เข้ากับทุก ๆ แอปฯ ทุก ๆ อุปกรณ์ของ Apple พร้อมกับการปฏิวัติดีไซน์ครั้งใหม่ที่ปรับให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะบุคคล ล้ำสมัย และที่สำคัญที่สุด Apple ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ โดยไฮไลต์ภายในงาน WWDC 2025 มีดังนี้
  • Apple Intelligence หัวใจหลักของ Apple
- Apple Intelligence กลายเป็นหัวใจของทุกระบบ: ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Mac, Vision Pro หรือแม้แต่ Apple Watch
- พัฒนาให้ฉลาดขึ้น, เร็วขึ้น, ใช้งานแบบไม่ต้องพึ่ง Cloud ได้ (ทำงานบนเครื่องเลยแบบ On-Device)
- ใช้งานได้ แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เพราะ AI หลายตัวทำงานบนเครื่อง (On-Device) แถมยังให้เรื่องความเป็นส่วนตัวมาเป็นที่หนึ่ง
- เปิดให้นักพัฒนาใช้ Foundation Models Framework ดึง LLM มาใช้ในแอป ยกตัวอย่างเช่นแอป Kahoot สร้าง Quiz จากโน้ตเรา หรือ AllTrails แนะนำเส้นทางเดินป่าอัตโนมัติ
- เน้นความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลประมวลผลแบบไม่หลุดออกนอกเครื่อง และถ้าใช้ Cloud ก็ยังผ่านระบบ Private Cloud Compute ที่ Apple เองก็เข้าถึงไม่ได้
  • ดีไซน์ใหม่ “Liquid Glass” เปิดตัวใน iOS 26
ดีไซน์ใหม่ Liquid Glass เปลี่ยนลุคให้ดูลื่น โปร่งใส เคลื่อนไหวได้ตามนิ้ว สายตา และตอบสนองตามบริบท
- ครั้งสุดท้ายที่ Apple ปรับดีไซน์ใหม่ครั้งใหญ่คือ iOS 7
- ในปีนี้ ดีไซน์ใหม่นี้ เรียกว่า Liquid Glass ที่เปลี่ยนลุคให้ดูลื่น + โปร่งใส + เคลื่อนไหวได้ตามนิ้ว สายตา และตอบสนองตามบริบท
- โดยจะใช้ดีไซน์เดียวกันทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, VisionOS
- แถบเมนู (Tab Bar), ปุ่มต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงแบบ Dynamic ตามการใช้งานจริง
- Wallpapers มีแบบใหม่ คือ สามารถสร้างฉาก 3D จากภาพถ่ายเราเอง (Spatial Scene)
- ไอคอนแอปออกแบบใหม่ทั้งหมดตามแนว Liquid Glass มีเลเยอร์หลายชั้น เคลื่อนไหวตามทิศแสง และเปลี่ยนเป็น Dark Mode หรือ Clear Mode ได้
- ปรับ UI หลายจุดให้ทันสมัยขึ้น เช่น หน้า FaceTime, Safari, กล้อง และหน้า Now Playing ที่เปลี่ยนตามเพลง
  • Camera & Photos ปรับ UI ใหม่หมด เน้นใช้งานสะดวกขึ้น
- โหมดที่ใช้บ่อยที่สุด อย่าง Photo/Video ถูกย้ายขึ้นมาให้คลิกง่าย
- การสลับโหมด Cinematic, Portrait แค่สไลด์ซ้ายขวา
กดขึ้นด้านล่างเพื่อเปิดเมนูเสริม เช่น เปลี่ยน 4K, ตั้งเวลา, เลือกเลนส์ ฯลฯ
- Photos แยกชัดเป็น “Library” (รวมทุกภาพ) กับ “Collections” (อัลบั้ม/ความทรงจำ)
- Spatial Photo View ปรับแต่งภาพที่ถ่ายใน Photos เป็น 3D ได้ด้วย
  • Phone App เปลี่ยนหน้า UI ครั้งใหญ่ในรอบหลายปี เน้นเรื่องความปลอดภัย
- รวม Favorites, Recents, Voicemail ไว้ในหน้าเดียว
- เปิดตัว Hold Assist: โดยที่ iPhone จะเปิดเพลงในระหว่างรอสายให้ และถ้ามีคนรับ จะเตือนเรากลับมารับสาย เหมาะมากเวลาโทรหา Call Center
- เปิดตัว Call Screening: จะช่วยสกรีนเบอร์ที่ไม่รู้จัก ถ้ามีเบอร์แปลกโทรมา iPhone จะรับสายให้เพื่อสกรีนผ่านการถามปลายสายว่าเป็นใครหรือโทรมาทำไม ถ้าพบว่าเป็นเบอร์สำคัญหรือน่าสนใจ iPhone ถึงเปิดให้ผู้ใช้ได้ยินสายเรียกเข้า
ดีไซน์ใหม่ Liquid Glass เปลี่ยนลุคให้ดูลื่น โปร่งใส เคลื่อนไหวได้ตามนิ้ว สายตา และตอบสนองตามบริบท
  • Messages ปรับโฉมใหม่ให้ฉลาด ใช้สนุก และปลอดภัยขึ้น
- Backgrounds: แต่งฉากหลังแชททั้งกลุ่ม (แชร์ร่วมกันเห็นทุกคน)
- Polls + AI Suggestion: ในแชทเมื่อทำการพิมพ์คำถาม อย่างเช่น “ไปไหนดี?” ระบบจะแนะนำให้สร้างโพลทันที
- เพิ่มฟีเจอร์ Apple Cash โอนเงินในกลุ่มได้เลย
- Typing Indicators สำหรับกลุ่ม: จะเห็นว่าใครกำลังพิมพ์อยู่ในกลุ่ม
- Spam Detection และ Screen New Senders: แยกเบอร์แปลกไว้ในโฟลเดอร์ เพื่อให้ผู้ใช้เลือกว่าจะคุยหรือไม่
  • Live Translation แปลภาษาทั้งข้อความ-เสียงแบบเรียลไทม์
- แปลภาษาแบบเรียลไทม์ ใช้ได้ใน Messages / Phone / FaceTime
- อย่างเช่น เวลาโทรคุยกับเพื่อนต่างชาติ สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ โดยที่อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงที่แปลแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้ iPhone ก็จะได้ยิน
- ในส่วนของ FaceTime จะมี Live Captions แปลบทสนทนาแบบเรียลไทม์ขึ้นมาให้เห็นทันที
- รองรับการแชทและโทรกับเพื่อนต่างชาติแบบไม่มีกำแพงภาษากั้นขวาง
  • Image Playground + Genmoji + ChatGPT Styles
- สร้าง “Genmoji” แบบใหม่ได้ ด้วยการผสมอิโมจิ 2 ตัวเข้าด้วยกัน หรือจะผสมอิโมจิกับคำอธิบายก็ได้เช่นกัน
- สร้างอิโมจิจากรูปภาพที่เรามีก็ได้ อย่างเช่น เปลี่ยนทรงผมเพื่อน, เปลี่ยนมู้ดอารมณ์, หรือทำหน้า shocked ตามอิโมจิ เพียงแค่แปะรูปกับอิโมจิที่อยากได้ลงไป
- สร้างภาพในสไตล์ ChatGPT ได้เลย อย่างเช่น สร้างภาพแบบสเก็ตช์ ภาพวาดในสไตล์ ChatGPT
  • Apple Maps ฉลาดขึ้นแบบมีบริบท
- Maps แบบใหม่จะสามารถเรียนรู้เส้นทางประจำของเรา อย่างเช่น บ้าน-ที่ทำงาน-ร้านกาแฟ พร้อมกับเสนอเส้นทางที่ชอบใช้ให้ทันที และหากมีการเปลี่ยนเส้นทาง Maps จะเรียนรู้เอาไว้และเสนอในภายหลัง
- แจ้งเตือนทันทีถ้าเส้นทางมีรถติด
- Visited Places: ลืมชื่อสถานที่ไม่เป็นไร เพราะ Maps จะจดจำสถานที่ที่เคยไปให้ และสามารถแชร์ต่อให้เพื่อนได้ง่าย ๆ
- ยังเน้นเรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นข้อมูลเข้ารหัส ที่แม้แต่ Apple ก็เข้าถึงไม่ได้
  • Visual Intelligence ถ่ายภาพหรือแคปหน้าจอค้นหาข้อมูล
- ถ้าผู้ใช้ถูกใจ เห็นสินค้าที่ชอบในภาพ หรือชื่นชอบสิ่งของผ่านแอปฯ ไหนก็ตาม สามารถกดค้นหากับ Visual Look Up ได้เลย
- เพียงใช้กล้องถ่ายภาพนั้น ๆ หรือแคปภาพ Screenshot แล้วแค่คลิกต่อ หรือไฮไลต์ของที่ต้องการในภาพ ก็สามารถค้นหาสิ่งของนั้นได้ทันที
- หรือจะใช้ ChatGPT เพื่อถามหาข้อมูลเชิงลึกขึ้นจากภาพได้เลย เช่น “เครื่องดนตรีนี้ใช้ในเพลงไหน” เป็นต้น
  • Apple Wallet และ Apple Pay
- เตรียมเปิดให้มี Digital ID ที่เชื่อมด้วยพาสปอร์ตสหรัฐ ให้ใช้เดินทางในประเทศกับ TSA ได้อย่างสะดวก
- มีระบบ Auto Summary ออร์เดอร์สินค้า: โดย iPhone จะค้นหารายการสั่งสินค้าในเมลแล้วดึงข้อมูลมาแสดงใน Wallet ให้อัตโนมัติ
- บันทึกแต้มสะสม/ผ่อน 0% ใช้ได้ทั้งออนไลน์และในร้านจริง
- ฟีเจอร์ระบุ Boarding Pass แบบใหม่ ที่มาพร้อมแผนที่สนามบินในตัว และติดตามกระเป๋าได้ด้วย Find My
  • watchOS 26 มี Workout Buddy ขับเคลื่อนด้วย AI ให้กำลังใจระหว่างออกกำลังกาย
- ฟีเจอร์ใหม่ “Workout Buddy” เป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวที่พูดกับคุณผ่าน AI หากใช้ Apple Watch ควบคู่กับ AirPods
- มี Smart Stack และ Notification ใช้ AI คาดการณ์สิ่งที่คุณต้องการได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- เพิ่มฟีเจอร์ Gesture ใหม่เรียกว่า “Wrist Flick” สำหรับปัดการแจ้งเตือนหรือรับสายแบบไม่ต้องแตะจอ
  • macOS Tahoe หน้าตาใหม่ ฉลาดขึ้นด้วย Apple Intelligence
- Spotlight อัปเดตครั้งใหญ่ ค้นหาไฟล์, แอป, ระบบ, คำสั่ง ได้เร็วกว่าเดิม
- เปิด Phone App บน Mac โดยสามารถใช้ Call Screening, Hold Assist, Translation ได้เหมือนกับ iPhone
- ใช้ Apple Intelligence สร้าง Shortcut แบบใหม่ อย่างเช่น สร้าง Tagline ให้เอกสารได้เลยแบบอัตโนมัติ
  • iPadOS 26 อัปเกรดครั้งใหญ่ มีแถบเมนู เพิ่มหน้าต่างได้เหมือน Mac
การปรับโฉมใหม่ของ iPad บน iPadOS 26 มีแถบเมนู เพิ่มหน้าต่างได้เหมือน Mac
- ปรับครั้งใหญ่ให้ iPad ทำงานได้แบบ Multitasking เพิ่ม จัดตำแหน่ง ยืด หด หน้าต่างได้เหมือนบน Mac
- มี Menu Bar และ Expose เหมือน macOS โดยสามารถทำงานได้หลายแอปพร้อมกัน
- Files App รองรับ Folders in Dock และเพิ่ม Preview เข้ามาใหม่ (จากเดิมมีแค่บน macOS) ให้จัดการ PDF ได้เลยทันที
พร้อมฟีเจอร์ใหม่ด้านเสียงและวิดีโอ อย่างเช่น บันทึกเสียงได้แบบ Studio Quality ด้วย AirPods และฟีเจอร์ Local Capture แยกบันทึกวิดีโอกับเสียงคุณภาพสูงในการสัมภาษณ์หรือ Podcast ได้
Tim Cook, CEO ของ Apple
ในช่วงท้าย Tim Cook ยังได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า Apple Intelligence ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ แต่เป็น “พลังหลัก” ที่จะอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ของ Apple ไปอีกยาวนาน พร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่เชื่อมโยงประสบการณ์ใช้งานข้ามแพลตฟอร์มอย่างไร้รอยต่อ พร้อมกับกล่าวขอบคุณนักพัฒนาทั่วโลกที่ร่วมกันสร้างนวัตกรรมกับ Apple และทิ้งท้ายอย่างกระชับด้วยการเชิญชวนผู้ร่วมงาน WWDC ตลอดทั้งสัปดาห์ให้ตั้งตารอเวิร์กช็อป เซสชัน และการพบปะกับทีมวิศวกร Apple ซึ่งเป็นหัวใจของงานนี้
ที่มา: Apple, Business Insider, Investing
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
โฆษณา