การจะเข้ามหาลัยจำเป็นต้องยากขนาดนี้เลยเหรอ

การเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยเป็นเป้าหมายของนักเรียนหลายคนเพราะถูกมองว่าเป็นประตูสู่อนาคตที่มั่นคงและเป็นโอกาสที่ดีขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นการเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เรื่องการศึกษาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากมาย ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ ระบบการศึกษา ไปจนถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยต่อสังคมโดยรวม
ในสังคมไทยปัจจุบันการติวหนังสือกลายเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในระบบที่เน้นคะแนนสูง การแข่งขันรุนแรง อย่างไรก็ตามการเข้าถึงติวเตอร์ก็ยังเป็นเรื่องไม่เท่าเทียมและกลายเป็นหนึ่งสาเหตของการเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างชัดเจน
เนื่องจากติวเตอร์ช่วยสรุปเนื้อหาให้เข้าใจเร็วกว่าเรียนเอง นอกจากนั้นก็ยังให้เทคนิคทำข้อสอบที่ตรงจุด ซึ่งไม่มีสอนในห้องเรียนทั่วไปเด็กที่มีเงินสามารถเรียนคอร์สเฉพาะทางได้ สอบติดคณะยอดนิยมได้ง่ายกว่า เด็กบางกลุ่มที่ไม่มีสิทธิ์เลือก เช่น เด็กที่อยู่แถวชนบทหรือจากครอบครัวยากจน อาจไม่มีเงินเรียนพิเศษ
บางคนต้องทำงานหลังเลิกเรียน ทำให้ไม่มีเวลาทบทวน หรือ ไปเรียนเสริม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนที่เตรียมสอบกับคนที่ต้องดิ้นรน ทำให้คะแนนสอบไม่ได้วัดความสามารถที่แท้จริง แต่สะท้อนว่าใครมีต้นทุนในการเตรียมตัวมากกว่า ความหวังในการสอบติดมหาลัยของนักเรียนบางกลุ่มจึงเป็นไปไม่ได้เลย
แรงกดดันกับสุขภาพจิต: ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย
นักเรียนจำนวนมากรู้สึกว่าการสอบติดมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ เพื่อไม่ให้ใครผิดหวัง ความคาดหวังจาก พ่อแม่ ครู หรือแม้แต่เพื่อน ทำให้เกิดความกดดัน ความกลัวและความล้มเหลวมากกว่ากลัวจะไม่มีความสุข นอกจากนี้ การเรียนหนัก เรียนพิเศษทุกวัน ทำให้นอนน้อย ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง รู้สึกเหมือนชีวิตมีแค่อ่านหนังสือกับอ่านหนังสือ ไม่มีช่วงพักใจหรือว่าความสุขเล็ก ๆ
บางคนเริ่มมีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือ หมดไฟโดยไม่รู้ตัว หลายๆคนไม่กล้าขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวโดนมองว่าอ่อนแอ โรงเรียนส่วนใหญ่มักเน้นผลลัพธ์มากกว่าความเป็นอยู่ของนักเรียน ปัญหาสุขภาพจิตจึงถูกละเลย ทั้งที่อาจร้ายแรง ถึงขั้นส่งผลต่อชีวิต
เข้ามหาวิทยาลัย = ได้งานทำ จริงหรอ
ในอดีตการเรียนจบมหาวิทยาลัยถูกมองว่าเป็นใบเบิกทางสู่ชีวิตการทำงานที่มั่นคง รายได้ดีและตำแหน่งที่น่าเชื่อถือ แต่ปัจจุบัน วุฒิการศึกษาไม่ใช่ตัวรับประกันว่า จะได้งานอย่างที่หวัง และการเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไม่ใช่คำตอบเดียวของการสำเร็จอีกต่อไป
หลายคนเรียนจบ แต่ไม่มีงานทำ เพราะตลาดแรงงานต้องการทักษะที่ไม่ได้สอนในมหาวิทยาลัย ตำแหน่งงานบางสายอาชีพ มีน้อยกว่าจำนวนบัณฑิตที่จบออกมา การแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ปริญญา กลายเป็นเพียงใบสมัคร 1 ในพัน หลายสาขาเรียนทฤษฎีเยอะแต่ขาดการฝึกปฏิบัติจริง นักศึกษาจบใหม่จึงมักถูกมองว่า ยังไม่พร้อมทำงาน
เราโตมากับความเชื่อว่า การเข้ามหาวิทยาลัยคือคำตอบของชีวิตและคือสิ่งที่ต้องทำให้ได้ แต่ในความเป็นจริงการเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหาและ ไม่ใช่ใบเบิกทางอัตโนมัติสู่การมีงานทำหรือชีวิตที่มั่นคง
มหาลัยให้โอกาสก็จริงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ประโยชน์เท่ากันแล้วจบออกมาพร้อมสู้กับโลกในความเป็นจริง จึงมีการตั้งคำถามว่า การจะเข้ามหาลัยจำเป็นต้องยากขนาดนี้เลยเหรอ
โฆษณา