5 ก.ค. เวลา 09:36 • การศึกษา

ใครอยากตาEก่อนยกมือขึ้น!

เคยคุยกันเล่นๆกับคนที่คุณรักไหมว่า อยากตาEก่อนหรือตาEทีหลัง? บางคนทำใจไม่ได้ ถ้าเห็นคนรักตาEไปก่อน เพราะรู้สึกว่าตัวเองคงจะต้องทุกข์มาก ไม่มีวันทำใจได้แน่ๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไง ก็อยากจะให้ตัวเองเป็นผู้ตาEก่อน จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานมาก โดยคิดเอาเองว่าผู้ที่ตาEไปแล้วไม่ต้องรู้สึกอะไร คนที่อยู่ที่ข้างหลังสิ มีแต่ความทุกข์คิดถึงคนรักที่จากไป
หรือบางทีอาจอยากจะตาEไปด้วยกัน ไปพร้อมๆกัน จะได้ไม่มีใครต้องทุกข์ทนอยู่ข้างหลัง แต่ก็อีกแหละ พอถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ มันอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้ "แกไปก่อนสิ! ไอ้แก่ แกสิไปก่อน อีแก่! ใครจะอยากไปพร้อมแก” เอาเป็นว่าหากจะตาEพร้อมกัน ก็อาจจะมีห่วงอยู่ดี ไหนจะทรัพย์สินข้าวของเงินทอง "coll(ection) ของช๊าาาน ยังไม่ครบชุดเลย”
ไหนจะผู้คนที่อยู่ข้างหลัง ไหนจะน้อนๆทั้งหลาย "โถ! ทูลหัวของบ่าว จะมีใครช่วยจัดการดูแลไหม?” แล้วยังจะหน้าที่การงาน project ใหญ่ในฝันที่รับผิดชอบอยู่ "ฉันไปแล้วพังแน่ๆ จะมีใครทำงานนี้แทนฉันได้” ฯลฯ สรุปไม่มีทางที่จะไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง
ถ้าอย่างนั้นมาลองดูมุมของคนที่จะต้องตาEดูไหม? ว่าจริงๆแล้วตอนที่เขากำลังจะตาEน่ะ ต้องเผชิญกับความรู้สึกอะไรบ้าง ทำยังไงถึงจะไปดีไปสู่สุคติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจิตสุดท้ายนั้นสำคัญมาก จะพาไปสุคติหรือทุคติก็ได้ และใครๆก็ปรารถนาจะไปดี แต่ไม่ค่อยมีใครคิดว่า ควรฝึกใจตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่หวังตาEเอาดาบหน้าว่าถึงเวลาจะทำได้ ก็แค่คิดถึงสิ่งดีๆ เดี๋ยวก็ได้ไปสู่สุคติแล้ว ซึ่งขัดกับคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ว่า ให้ฝึกตาEก่อนตาE
คนเราเวลาจะตาEนั้น จิตใจกังวลไปหมดทุกอย่าง จิตเต็มไปด้วยความทุกข์ ในเวลาเพียงสั้นๆนั้น ต้องพยายามตัดใจ ทำใจฝืนคิดถึงแต่สิ่งดีๆเพื่อให้ได้ไปสู่สุคติ แต่การจะไปสู่สุคตินั้นทำได้ยากยิ่ง ดั่งคำที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์สอนไว้
กว่าจะทำใจได้ว่าต้องตาEแน่ๆ ต้องสู้รบปรบมือกับความอยากมีชีวิตอยู่ ในใจมีแต่ความรู้สึกว่าไม่อยากตาEๆๆๆ นี่ฉันต้องตาEจริงๆแล้วเหรอเนี่ย ไม่เอาหรอก ทำยังไงก็ได้ให้ฉันทำอะไรก็ได้ อย่าให้ฉันตาEเลย บนบานขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ต่อรองต่างๆนานา เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อ จิตใจดิ้นรนทำทุกวิถีทาง ฝากความหวังอันริบหรี่กับทุกอย่างที่นึกได้ แต่ความเจ็บปวดนั้นมันฟ้องว่าเป็นของจริงไม่รอดแน่ๆ บทพอจะทำใจได้ไปเปราะหนึ่ง ยอมรับว่าตาEแน่แล้ว
ด่านที่ 2 ก็มา นึกได้ว่าต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักทุกๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของอันเป็นที่รัก หน้าที่การงาน ชื่อเสียงเกียรติยศ ความภาคภูมิใจ ความสำเร็จต่างๆที่เรายึดถือเอาไว้ หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีเสียงไหนจะรบกวนจิตใจ ได้เท่ากับเสียงของคนที่เรารัก เสียงร้องไห้คร่ำครวญของญาติมิตรคนที่รัก ไม่ว่าจะจริงหรือหลอนไปเอง ดังวนเวียนทำให้เราต้องห่วงพะวงว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นยังไงบ้าง?
คุณเคยรักใครมากๆบ้างไหม? เคยอกหักจากคนที่คุณรักมากที่สุด เพราะพวกเขาถูกพรากจากคุณไปไหม? ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่รัก อาจจะเป็น พ่อ แม่ เพื่อนรัก สัตว์เลี้ยง ฯลฯ ยังต้องอาศัยเวลาทำใจนานเลย และสำหรับบางคนไม่อาจทำใจได้เลยชั่วชีวิต ความทุกข์นั้นเหมือนมีใครมาบีบหัวใจคุณแล้วกระชากออกมาจากอก แล้วเวลาเพียงเท่านั้นจะตัดใจได้หรือ? มันเป็นความทุกข์ที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าด่านแรกเลย
และถ้าโชคเข้าข้างรอดมาได้ถึงด่าน 3 ด่านที่ต้องเจอกับวิบากกรรมที่ทำไปยามมีชีวิตอยู่ ความผิดบาปที่เคยทำไว้ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนที่มันติดในหัวใจคุณ โดยที่คุณอาจจะรู้หรือไม่รู้ จำได้หรือจำไม่ได้ก็ได้ ผุดขึ้นมาเล่นงานเต็มอัตราศึก ยกตัวอย่างที่เคยฟังครูบาอาจารย์เล่าว่า มีอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้เป็นอะไรชอบบี้มดดำ เห็นแค่ตัว 2 ตัวก็ไม่ได้นะ ต้องรอให้มาเดินเข้าแถวกันก่อน แล้วจึงเอานิ้วรูดลากยาวเป็นแถว ให้ตาEจนหมดด้วยความสนุกสนาน สาแก่ใจ
ถึงตอนวันที่เขานอนจะสิ้นลมอยู่บนเตียง จู่ๆเขาก็ดิ้นแล้วกรีดร้อง พยายามปัดไล่มดดำที่ไม่มีใครมองเห็น ซึ่งไต่เต็มตัวไปหมด ด้วยความหวาดกลัว นี่! เจอด่านวิบากกรรม ถ้าคุณเป็นคนดีรักษาศีล ปฏิบัติธรรม สร้างกุศลอยู่เป็นนิจ ในขั้นตอนนี้อาจจะเห็นสวรรค์วิมานมารออยู่ก็เป็นได้
เอ้า! หากยังไม่ละความพยายาม อยากจะไปสู่สุคติตาEดีๆกับเขา บางคนอาจจะเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาคิดจะ cheat death ด้วยการให้คนอื่นช่วยเหลือ อ่ะ! ในเมื่อเราทำได้ยากให้คนอื่นช่วยดีกว่าไม๊ ฝากความหวังไว้กับคนอื่น ด้วยการให้เขามาพูดข้างหูว่าให้นึกถึงพระๆ แต่ก็อาจจะดันไปนึกถึง วิบากกรรมที่ทำกับพระสงฆ์องคเจ้าก็ได้ ทำไม่ดีอะไรกับท่านไว้โอ๊ยมาเต็มๆ
ไม่เอาๆเปลี่ยนใหม่ๆ ให้สวดมนต์ให้ฟังแล้วกัน น่าจะ safe แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ใจไม่เคยเข้าถึงบทสวดมนต์เลย เพราะตอนมีชีวิตอยู่มีแต่ไปตื๊ดๆ เข้าผับเข้าบาร์ เต้นรำ ร้องรำทำเพลง จึงเห็นเสียงสวดมนต์เป็นเสียงที่น่ารำคาญระคายหู ฟังแล้วหงุดหงิดเกิดจิตเป็นอกุศลขึ้นมาอีก จะว่าไปพอถึงจุดนี้ บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าอย่างนั้นที่เคยได้ยินครูบาอาจารย์สอนเรา ให้กระซิบข้างหูคนที่กำลังจะตาEว่า ให้นึกถึงพระหรือสวดมนต์ดีหรือไม่?
ก็จะขอตอบว่า “ดี” แต่มันดีสำหรับคนที่อยู่ มากกว่าคนที่จะตาE คนที่ได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือคนที่อยู่ เพราะมีใจเมตตาช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก อยากให้คนที่จะตาEไปดี ไปสู่สุคติ
ส่วนคนที่ตาEนั้น จะได้ประโยชน์หรือไม่ ยังไม่แน่ แล้วแต่บุญแต่กรรมที่เขาทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่ ไม่เคยทำไว้มีหรือจะนึกออก กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ ถ้าอยากจะให้ได้ผลจริงๆ ชวนเขาทำความดี ทำบุญกุศล รักษาศีล ภาวนา ตั้งแต่ตอนที่มีชีวิตอยู่จะดีกว่า จะได้นึกออกได้เองตอนตาE ไม่อย่างนั้นมันยากเหลือเกิน ที่จะนำทางเขาไปสู่สิ่งดีๆได้
ถึงตอนนี้ ให้คุณลองสำรวจตัวเองดูด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบคนอื่นหรอก ดูว่าจิตของคุณนั้น วันๆอยู่กับสิ่งใดมากกว่ากัน กุศลหรืออกุศล จิตคุ้นเคยกับสิ่งใด จะวิ่งไปหาสิ่งนั้นก่อน สิ่งที่ครูบาอาจารย์สอนให้ฝึกตาEก่อนตาE หรือท่องพุทโธจนหลับไป คือการฝึกจิตให้เกาะกับสิ่งที่ดี เวลาคับขันจวนตัวจะได้มีโอกาสไปที่ดีๆมากกว่าไม่ดี เหมือนการซ้อมดับไฟตั้งแต่ยังไม่เกิดไฟไหม้ ไม่งั้นก็คาดหวังได้เลยว่า การไปสู่สุคติที่เราๆอยากได้กันนั้น มันเป็นแค่ wishful thinking ทำไม่ได้จริง เพ้อไปเอง
สำหรับผู้ที่เตรียมตัวตาEมาแล้วยังยากเลย ไม่แน่ว่าเจอของจริงแล้วจะทำได้ อย่าว่าแต่คนที่คิดเองเออเองว่า เดี๋ยวถึงเวลาจะทำได้ เพราะในช่วงเวลาที่บีบคั้น เหลือเพียงไม่กี่อึดใจก่อนจะตาE สิ่งที่คุณต้องประสบพบเจอนั้นมันยากเหลือเกิน ยังกับต้องฝ่าด่าน 18 อรหันต์เพื่อที่จะได้ลงจากเขา อันเป็นสิ่งที่คอยดับฝันสู่สุคติ แบบน็อคเอาท์กันเลยทีเดียว
คนส่วนใหญ่จึงมีทุคติภูมิเป็นที่ไป เพราะไม่เคยสร้างจิตให้คุ้นเคยกับความเป็นกุศล อยู่กับศีลกับธรรม ในขณะที่คนที่มีชีวิตอยู่ ต้องพลัดพรากจากคนที่รักเพียงคนเดียว แม้จะกระทันหัน ไม่มีเวลาทำใจก็ตาม ความทุกข์จากการต้องพลัดพรากนั้น มันเทียบกันไม่ได้กับคนที่จะตาEเลย
เพราะต้องเผชิญกับ การพรากจากทุกสิ่งทุกอย่างที่รักและห่วงหาอาทร แบบมาครบองค์ 3 คือ คน สัตว์ สิ่งของ ก่อนตาEนั้นต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกทุกอย่าง แบบที่มีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะตัดใจได้ จริงอยู่ตาEแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่ก่อนตาEนี่สิ! จำคำถามเมื่อเริ่มเรื่องว่าอยากตาEก่อนหรือหลังได้ไหมคะ? คำตอบของคุณเปลี่ยนไปหรือเปล่า? แล้วจะตาEก่อนหรือตาEทีหลังดี? แต่ที่แน่ๆตาEกันทุกคนค่ะ
When they come correcting, don't run screaming!
Sansati
ขอบคุณภาพจาก
โฆษณา