11 มิ.ย. เวลา 03:00 • ไอที & แก็ดเจ็ต

สรุปวิวัฒนาการสมาร์ตโฟน ตลาดทะเลเลือด ที่แข่งกันเดือด จากจอโค้ง จอพับ สู่ยุค AI

หากมองย้อนวิวัฒนาการของสมาร์ตโฟนตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนเดินหน้าแข่งขันกันอย่างดุเดือด ในสนามที่ไม่ได้วัดกันเพียงแค่ความแรงของชิปประมวลผล หรือความคมชัดของกล้อง
แต่เป็นสงครามแห่ง “นวัตกรรม” ที่ใครล้ำกว่า ก็มีโอกาสครองใจผู้บริโภคได้ก่อน..
แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่า ก่อนที่สมาร์ตโฟนจะมาแข่งขันกันด้วยฟีเชอร์ AI ล้ำ ๆ และดิไซน์ความบาง แบบที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
แล้วตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนทั่วโลก เคยแข่งขันกันด้วยเรื่องอะไรบ้าง ?
ในบทความนี้ MarketThink ขอชวนทุกคนย้อนอดีตกลับไปดู “นวัตกรรม” ล้ำ ๆ ของสมาร์ตโฟนทั่วโลก นับตั้งแต่ปี 2014 ว่ามีนวัตกรรมล้ำ ๆ อะไรที่น่าสนใจ ก่อนจะกลายมาเป็นสมาร์ตโฟนที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
- ปี 2014-2015 จุดเริ่มต้นของสมาร์ตโฟนจอโค้งในตลาด Mass
ย้อนกลับไปช่วงปี 2014-2015 นวัตกรรมสมาร์ตโฟนจอโค้ง เริ่มได้รับการพูดถึงในฐานะนวัตกรรมใหม่ ของสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม
เช่น Samsung Galaxy Note Edge สมาร์ตโฟนขอบจอโค้งข้างเดียว ที่เปิดตัวในช่วงปลายปี 2014
หรืออย่าง Samsung Galaxy S6 Edge เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรก ที่มีขอบจอโค้งทั้งสองข้าง ซึ่งเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายน 2015
กลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสสมาร์ตโฟนจอโค้งระดับพรีเมียมในตลาด Mass ที่คนทั่วไปน่าจะคุ้นเคยกัน และกลายเป็นสมาร์ตโฟนจอโค้งที่เราเห็นกันมาจนถึงปัจจุบัน
แต่หากย้อนกลับไปในปี 2013 แบรนด์สมาร์ตโฟนอย่าง Samsung และ LG ต่างเคยเปิดตัวสมาร์ตโฟนจอโค้งมาแล้ว
แม้จะยังไม่ใช่สมาร์ตโฟนจอโค้งที่วางขายในตลาด Mass อย่างจริงจัง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสมาร์ตโฟน ในช่วงเวลานั้น
เช่น Samsung Galaxy Round สมาร์ตโฟนจอโค้ง คล้ายกับกระดาษที่งุ้มลงเมื่อวางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งจำกัดการขายเฉพาะในเกาหลีใต้เท่านั้น
หรืออย่าง LG G Flex ที่มีหน้าจอโค้งรับกับใบหน้าเมื่อคุยโทรศัพท์
- ปี 2016 จุดเริ่มต้นของโทรศัพท์มือถือกล้องคู่ในตลาด Mass และเทรนด์หน้าจอไร้ขอบ ที่เพิ่งเริ่มต้น
ถัดจากยุคที่แบรนด์ต่าง ๆ เริ่มทำสมาร์ตโฟนจอโค้ง นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เริ่มนำมาใส่ในสมาร์ตโฟน ก็คือ “กล้องคู่”
หากจำกันได้ iPhone รุ่นแรกที่มีกล้องคู่ก็เปิดตัวในปี 2016 นั่นคือ iPhone 7 Plus โดยมาพร้อมกับกล้องหลัก และกล้อง Telephoto จนจุดกระแสสมาร์ตโฟนกล้องคู่ขึ้นมาได้ แม้จะไม่ใช่สมาร์ตโฟนที่มีกล้องคู่เป็นรุ่นแรกก็ตาม
ส่วนแบรนด์อื่น ๆ ที่เริ่มนำกล้องคู่มาใส่ไว้ในสมาร์ตโฟนของตัวเอง ในช่วงเวลาเดียวกัน ก็อย่างเช่น
1
Huawei P9 มีกล้อง Wide และ Monochrome (กล้องสำหรับบันทึกภาพขาว-ดำ)
LG G5 และ LG V20 ที่มีกล้อง Wide และ Ultra-Wide (กล้องสำหรับถ่ายภาพมุมกว้างพิเศษ)
ส่วนนวัตกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจในปีเดียวกัน ก็ยังมี Xiaomi Mi Mix สมาร์ตโฟนจากแบรนด์ Xiaomi ที่ชูนวัตกรรม ดิไซน์หน้าจอที่ไร้ขอบบน โดยได้ย้ายกล้องหน้ามาไว้ที่ขอบเล็ก ๆ ด้านล่างแทน
และไม่มีรูลำโพงสนทนา โดยใช้เทคโนโลยี Piezoelectric Ceramic Acoustic Technology ที่ถ่ายทอดเสียงผ่านการสั่นสะเทือนของโครงสร้างตัวเครื่อง เป็นการทดแทน
- ปี 2017 สมาร์ตโฟนหน้าจอไร้ขอบ และเทคโนโลยีสแกนใบหน้า
ปีนี้เป็นปีที่ Apple เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่ไร้ปุ่ม Home คือ iPhone X พร้อมกับ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนดิไซน์ครั้งใหญ่ของ Apple ในรอบเกือบ 10 ปี จากเดิมที่มีปุ่ม Home และขอบหน้าจอหนา ๆ ทั้งด้านบนและด้านล่างมาโดยตลอด
แต่ไฮไลต์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของ iPhone X คือ การเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีในการปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้าแบบ 3D (Face ID) เป็นครั้งแรก
ซึ่งมีความแม่นยำสูง ผ่านการยิงแสงจุดอินฟราเรดไปยังใบหน้ากว่า 30,000 จุด แทนที่การใช้ลายนิ้วมือในการสแกนผ่าน Touch ID
ในขณะที่สมาร์ตโฟนรุ่นอื่นอย่าง Samsung Galaxy S8 ก็มีเทคโนโลยีการปลดล็อกหน้าจอคล้าย ๆ กัน แต่จะใช้เทคโนโลยีการสแกนม่านตา (Iris Scan) แทน
1
รวมถึงสามารถใช้การสแกนใบหน้าผ่านกล้องหน้าแบบ 2D หรือการสแกนลายนิ้วมือ ได้เช่นกัน
- ปี 2018 จุดเริ่มต้นของกล้องแบบ Pop-Up
ปี 2018 เป็นปีที่สมาร์ตโฟนต่างแข่งกันเพิ่มพื้นที่หน้าจอบนตัวเครื่องให้ได้มากที่สุด ทำให้สมาร์ตโฟนที่ต้องการขยายหน้าจอให้เต็มพื้นที่ ต้องเปลี่ยนไปใช้กล้องหน้าแบบ Pop-Up แทน
โดยสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลก ที่มีกล้องหน้าแบบ Pop-Up คือ Vivo NEX S ตามมาด้วย OPPO Find X ที่ใช้เทคนิคคล้าย ๆ กัน
รวมถึงยังมีความพยายามในการเพิ่มพื้นที่หน้าจอ ด้วยการใช้กล้องหน้าแบบสไลด์ เช่น ใน Xiaomi Mi Mix 3 และ Lenovo Z5 Pro
นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน Huawei ยังได้โชว์นวัตกรรมสมาร์ตโฟนที่มีกล้องหลัง 3 ตัว รุ่นแรกของโลกใน Huawei P20 Pro ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องมุมกว้าง กล้องซูม และกล้องสำหรับถ่ายภาพขาว-ดำ โดยเฉพาะ
- ปี 2019 จุดเริ่มต้นยุค 5G สมาร์ตโฟนจอพับ และกล้องหลังหลายตัว
ปี 2019 เป็นปีที่เราได้เห็น นวัตกรรมในสมาร์ตโฟน มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก เช่น
iPhone เริ่มต้นใส่กล้องหลังมาให้ 3 ตัว เป็นครั้งแรกในรุ่น Pro โดยเริ่มต้นที่ iPhone 11 Pro ประกอบไปด้วย กล้องมุมกว้าง กล้องมุมมองกว้างพิเศษ และกล้องซูม
ในขณะที่ปี 2019 Samsung ได้เปิดตัวนวัตกรรมบนสมาร์ตโฟนหลายอย่าง เช่น
Galaxy Fold สมาร์ตโฟนจอพับได้รุ่นแรกของ Samsung
Galaxy A80 สมาร์ตโฟนกล้องหมุนได้
และ Galaxy S10 สมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลก ที่รองรับ 5G
รวมถึงแบรนด์สมาร์ตโฟนอื่น ๆ ที่เปิดตัวสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ LG V50 ThinQ 5G, Xiaomi Mi MIX 3 5G และ Huawei Mate 20X 5G
และ Huawei ยังได้โชว์นวัตกรรมซูมไกล 50X เป็นครั้งแรกบนสมาร์ตโฟนรุ่น P30 Pro โดยการใช้การซูมแบบ Periscope 5X แบบไม่ลดทอนความละเอียด
ตามมาด้วย OPPO Reno 10X ซึ่งใช้กล้อง Periscope ทำให้มีความสามารถในการซูมเช่นเดียวกับ Huawei P30 Pro
ส่วน Vivo ได้เปิดตัว Vivo NEX 3 สมาร์ตโฟนที่มีนวัตกรรมหลายอย่าง เช่น ดิไซน์ไร้ปุ่มด้านข้าง จอโค้งเกือบ 90 องศา ทั้งสองด้าน และกล้องหน้าแบบ Pop-Up รวมกันไว้ในสมาร์ตโฟนเครื่องเดียว
และอีกหนึ่งข่าวใหญ่ในวงการสมาร์ตโฟน ที่เกิดขึ้นในปี 2019 ก็คือ Huawei เริ่มไม่สามารถเข้าถึง Google Mobile Services ได้ในโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ จากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา
- ปี 2020 หน้าจอพับได้ในตลาด Mass จุดเริ่มต้นของยุคโทรศัพท์มือถือซูมไกล และหมดยุคกล้อง Pop-Up
ปี 2020 เป็นปีที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดของสมาร์ตโฟนกล้อง Pop-Up เพราะสมาร์ตโฟนกล้อง Pop-Up เป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมในช่วงปี 2018-2019 เท่านั้น
เพราะกล้องแบบ Pop-Up มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่น ทำให้สมาร์ตโฟนมีตัวเครื่องที่หนาขึ้น เกิดความเสียหายกับกล้องบ่อยขึ้น และที่สำคัญคือสมาร์ตโฟนที่มีกล้อง Pop-Up ไม่สามารถกันน้ำได้ จากข้อจำกัดในการออกแบบ
ดังนั้น ในยุคถัดมาสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่จึงเริ่มเปลี่ยนไปใช้ดิไซน์กล้องหน้า เป็นแบบเจาะรู (Punch-Hole) แทน
อย่างที่พบได้ใน Samsung Galaxy S20, Huawei P40, Xiaomi Mi 10, OPPO Reno 4 และแบรนด์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ ในปี 2020 สมาร์ตโฟนต่างเริ่มแข่งขันกัน ด้วยเรื่องกล้องซูมไกลกันมากขึ้น โดยตัวอย่างแบรนด์ที่ร่วมแข่งขันในเรื่องนี้ ก็อย่างเช่น
Samsung Galaxy S20 Ultra ซูมได้สูงสุด 100X
หรือ Xiaomi Mi 10 Ultra ซูมสูงสุด 120X
ในขณะที่ ZTE ได้เปิดตัว ZTE Axon 20 5G สมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีกล้องหน้าซ่อนอยู่ใต้หน้าจอ
- ปี 2021 เลิกแข่งกันเรื่องนวัตกรรมล้ำ ๆ กลับมาโฟกัสกับการใช้งานจริง
ในปี 2021 สมาร์ตโฟนเริ่มเปลี่ยนจากการแข่งขันด้านนวัตกรรมล้ำ ๆ มาเป็นการแข่งกันในด้านการใช้งานจริงแทน
โดยสมาร์ตโฟนแบรนด์ต่าง ๆ ได้เน้นไปที่การพัฒนาความแรงของชิปประมวลผล และกล้องถ่ายภาพเป็นหลัก
ซึ่งในปี 2021 Apple ได้เปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นแรกที่มีหน้าจอ Refresh Rates 120Hz ใน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ทำให้การใช้งานจริงลื่นไหลมากกว่าเดิม
ในขณะที่ Samsung ได้พัฒนาสมาร์ตโฟนจอพับ มาจนถึงรุ่นที่ 3 แล้ว คือ Samsung Galaxy Z Fold 3
ส่วนแบรนด์อื่น ๆ อย่าง OPPO, Vivo และ Realme ต่างก็แข่งขันกันด้วยเรื่องกล้องอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ตาม แบรนด์อย่าง Xiaomi ก็ยังคงโชว์นวัตกรรมล้ำ ๆ ในสมาร์ตโฟน Xiaomi Mi 11 Ultra ที่มีจอที่สองอยู่ที่บริเวณด้านหลังเครื่อง เพื่อใช้ในการพรีวิวขณะถ่ายภาพเซลฟีโดยเฉพาะ
- ปี 2022 ปีแห่งการอัปเกรดความสามารถจากภายใน
ในปี 2022 เป็นปีที่สมาร์ตโฟนแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มใช้ดิไซน์ที่ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก และเน้นพัฒนาความแรงของชิปประมวลผล หรือความคมชัดของกล้องแทน
หากยังจำกันได้ ปี 2022 เป็นปีที่ Apple เปิดตัว iPhone 14 ซึ่งมีการอัปเกรดกล้องครั้งใหญ่ ใส่กล้องความละเอียด 48MP มาให้บน iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max
แต่มาในตัวเครื่องที่มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับ iPhone 12 Series และ iPhone 13 Series
ส่วนสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น ๆ ต่างร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตเลนส์ชื่อดังระดับโลก ในการพัฒนาหรือปรับจูนกล้องบนสมาร์ตโฟนของตัวเอง ได้แก่
OPPO ร่วมมือกับ Hasselblad นับตั้งแต่ปี 2022
Vivo ร่วมมือกับ Zeiss นับตั้งแต่ปี 2020
OnePlus ร่วมมือกับ Hasselblad นับตั้งแต่ปี 2021
และ Xiaomi ร่วมมือกับ Leica นับตั้งแต่ปี 2022
นอกจากนี้ Xiaomi ยังได้โชว์นวัตกรรมกล้องบนสมาร์ตโฟน ด้วยการใส่เซนเซอร์กล้องขนาด 1 นิ้ว ใน Xiaomi 12S Ultra ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการถ่ายภาพบนสมาร์ตโฟนให้ดียิ่งขึ้น
- ปี 2023 จุดเริ่มต้นของนวัตกรรม AI
จะเห็นได้ว่า นวัตกรรมของสมาร์ตโฟน เริ่มเปลี่ยนจากการแข่งขันกันเปิดตัวนวัตกรรมล้ำ ๆ เช่น กล้อง Pop-Up หน้าจอที่สอง หรือจอโค้ง เปลี่ยนมาเป็นนวัตกรรมที่เรียบง่าย แต่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน อย่างเรื่อง คุณภาพของกล้อง หรือความเร็วของชิปประมวลผลแทน
โดยในปี 2023 เรื่องหลัก ๆ ที่แข่งขันกันในตลาดสมาร์ตโฟนคือ กล้องความละเอียด 200MP, เซนเซอร์กล้องขนาด 1 นิ้ว และเริ่มใช้งานเลนส์ซูม Periscope กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากช่วยทำให้สมาร์ตโฟนสามารถถ่ายภาพระยะไกลได้คมชัดมากขึ้น
แต่เทรนด์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2023 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 คือ เทรนด์ด้าน AI ในสมาร์ตโฟน ที่เริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ก่อนที่ Samsung จะเปิดตัว Galaxy AI พร้อมกับ Samsung Galaxy S24 ในช่วงต้นปี 2024
- ปี 2024 จนถึงปี 2025 แข่งขันกันด้าน AI ของสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบัน
ในปัจจุบันสมาร์ตโฟนไม่ได้แข่งกันแค่เรื่องชิปประมวลผล หรือกล้องเพียงอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่แบรนด์สมาร์ตโฟนต่างหันมาแข่งขันกัน ที่ความฉลาดของ AI และการทำงานร่วมกันภายใน Ecosystem ของตัวเอง
ในช่วงต้นปี 2024 Samsung ได้เปิดตัว Samsung Galaxy S24 สมาร์ตโฟนที่โดดเด่นเรื่องความสามารถด้าน AI อย่างเป็นทางการ และชูจุดเด่นด้าน Ecosystem ของ One UI ในการทำงานข้ามอุปกรณ์
ส่วน Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 16 สมาร์ตโฟนกลุ่มแรกจาก Apple ที่รองรับการใช้งาน Apple Intelligence อย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้สมาร์ตโฟนแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น OPPO, Realme, Vivo, Xiaomi, Honor หรือ Huawei รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ต่างก็นำ AI มาใส่ในสมาร์ตโฟนของตนเองแทบทุกรุ่น
พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว สมาร์ตโฟนระดับกลางขึ้นไปที่วางขาย จะมี AI อยู่แทบทุกเครื่องนั่นเอง..
และล่าสุดในปี 2025 นี้ จะเห็นได้ว่าสมาร์ตโฟนเริ่มเข้าสู่การแข่งขันนวัตกรรมความบาง จากเดิมที่แข่งขันเรื่องความบางของสมาร์ตโฟนจอพับเท่านั้น เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่มีความบางเบาเป็นพิเศษ
ซึ่งตอนนี้ก็มี Samsung Galaxy S25 Edge ที่เปิดตัวออกมาแล้ว โดยชูจุดเด่นด้านความบางเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่อง iPhone 17 Air ที่เตรียมเปิดตัวภายในปีนี้ โดยชูจุดเด่นเรื่องความบางเป็นพิเศษเช่นกัน
แต่ความบางของสมาร์ตโฟนที่แบรนด์ต่าง ๆ เพิ่งจะเริ่มแข่งขันกันในปีนี้ จะเป็นเทรนด์ที่ได้ไปต่อหรือไม่ ก็คงต้องรอฟังเสียงตอบรับจากผู้ใช้งานจริงกันต่อไป
ทั้งหมดนี้ คือวิวัฒนาการของสมาร์ตโฟน ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่แข่งขันกันด้วยหน้าจอโค้ง กล้อง Pop-Up กล้องซูม จนมาถึงวันที่แข่งขันกันด้วยเทคโนโลยี AI และความบางเบา
โฆษณา